
Holly & Ivy ถือเป็นหนังคริสต์มาสที่ “เกือบ” ครบเครื่องครับ – ทำไมผมถึงว่า “เกือบ” น่ะหรือครับ มาครับจะเล่าให้ฟัง
แต่ประเด็นคือผมต้องสปอยล์นี่สิ… เอางี้แล้วกัน ขอสรุปคร่าวๆ ก่อนว่านี่เป็นหนังคริสต์มาสที่ทำออกมาได้น่ารักและอบอุ่นในระดับหนึ่งครับ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองดูอยู่เหมือนกันสำหรับคนที่ชอบหนังแนวนี้น่ะนะครับ เพียงแต่ท่านอาจต้องเผื่อใจสักนิดตรงที่หนังยังไปได้ไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งเดี๋ยวผมกำลังจะเข้าโซนสปอยล์ล่ะนะครับ
หนังเล่าเรื่องของบรรณารักษ์สาว เมโลดี้ แนปป์ (Janel Parrish) เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ในเมืองชิปเปวาฟอลส์ และกำลังหางานทำ ระหว่างนั้นเธอได้เจอกับนีน่า (Marisol Nichols) คุณแม่ลูกสองผู้น่ารัก และเมโลดี้ก็ผูกมิตรกับฮอลลี่ (Sadie Coleman) และไอวี่ (Piper Rubio) ลูกสาวของนีน่าอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเมโลดี้ก็พบว่านีน่าป่วยครับ เธอเป็นมะเร็งและอาจอยู่ได้ไม่นาน เธอเลยเป็นห่วงว่าแล้วใครล่ะจะดูแลลูกๆ ของเธอ
และในที่สุดเมโลดี้ก็ตัดสินใจที่จะรับดูแลฮอลลีและไอวี่ให้ครับ แต่การจะรับดูแลบุตรในลักษณะนี้เมโลดี้ต้องยื่นเรื่องขอกับทางการ และต้องรับการตรวจสอบพิจารณาในด้านต่างๆ เช่น เธอมีหน้าที่การงานสามารถส่งเสียเลี้ยงดูเด็กๆ ได้ไหม, ประวัติเคยเสียหรือเปล่า และที่สำคัญเลยก็คือ บ้านที่เธออยู่อาศัยจะต้องปลอดภัยสำหรับการอยู่อาศัยของเด็กๆ แต่ทีนี้บ้านที่เมโลดี้อยู่นั้นค่อนข้างโทรมครับ เธอเลยต้องขอความช่วยเหลือจากอดัม เยเกอร์ (Jeremy Jordan) ผู้รับเหมาประจำเมืองที่เธอได้เจอตอนมาในเมืองใหม่ๆ แล้วก็ตามสูตรน่ะครับ เขากับเธอย่อมต้องรักกันอยู่แล้ว
ผมชอบพล็อตของหนังนะ คือมันมีรายละเอียดเยอะน่ะครับอย่างเรื่องของเมโลดี้ก็มีหลายปม ไม่ว่าจะการหางานของเธอ, การตามความฝันที่จะทำงานบรรณารักษ์เพื่อแนะนำหนังสือดีๆ ให้เด็กๆ ไหนจะต้องซ่อมบ้านอีก ครั้นพอได้รู้จักกับนีน่าก็มีประเด็นให้เธอต้องช่วยเลี้ยงลูกให้ ซึ่งก็จะมีปมเกี่ยวกับการผูกมิตรกับลูกๆ ของนีน่า หรือตัวพระเอกอย่างอดัมเขาก็มีปมเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเรื่องระหว่างเขากับพ่อ หรือการทำงานตามความฝันแต่ก็ต้องรักษาให้มันบาลานซ์กับความจริงด้วย แล้วก็ยังมีเรื่องนีน่าป่วย ฯลฯ คือในแง่ของบทนี่ยอมรับเลยว่าน่าสนใจ
และจริงๆ ในแง่การเดินเรื่องก็ไม่เลวนะครับ เล่าได้ลื่นพอตัว เป็นการผสมกันที่เข้าท่าระหว่างหนังรักวันคริสต์มาส + หนังชีวิตเรียกน้ำตา + หนังเบาสมอง + หนัง Feel Good โดยรวมจริงๆ ถือว่าน่าพอใจ แต่ปัญหาใหญ่เลยก็คือ หนังเรื่องนี้ควรจะได้ทำเป็นหนังใหญ่ที่มีความยาวมากกว่า 90 นาทีครับ เพราะมันมีเรื่องให้เล่าเยอะ แต่มันล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการเล่าเพื่อให้คนดูเข้าถึงและซึ้งอิ่มเอมไปกับมัน

แต่เนื่องจากนี่เป็นหนังลงช่อง Hallmark เวลามันเลยจำกัดครับ เรื่องราวต้องจบภายใน 90 นาที เลยทำให้บางปมต้องถูกลดทอนลง ซึ่งนั่นก็ส่งผลต่อความซึ้งของเรื่องราว ปมใหญ่เลยคือเรื่องของนีน่าน่ะครับ ที่สุดท้ายเธอก็ต้องจากลูกๆ ไป และคริสต์มาสปีนั้นคือปีสุดท้ายที่เธอจะได้อยู่กับลูกๆ ซึ่งอันนี้แหละครับคือปมชั้นยอดในการสร้างความซึ้งและเรียกน้ำตา ทว่าหนังกลับต้องตัดเนื้อเรื่องให้สั้น หนังเลยเล่าแบบรวบรัด ไม่มีฉากที่นีน่าได้ใช้เวลาวันคริสต์มาสสุดท้ายกับลูกๆ แล้วหนังก็ตัดมาที่หนึ่งปีให้หลัง เล่าถึงตอนที่เมโลดี้ได้สิทธิ์เลี้ยงดูเลย – ทีนี้ความซึ้งที่พึงมีก็เลยหายสิครับ
คือในแง่ของเงื่อนเวลา ผมเข้าใจเลยครับ จริงๆ หนังเล่าได้โอเคนะ ดูแล้วเราเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของตัวละครพอสมควร อย่างเมโลดี้ที่มีความฝันและพยายามเดินไปให้ถึง แต่ทันทีที่เธอรู้ว่านีน่ากำลังจะจากไปและลูกๆ ของนีน่ากำลังจะไร้คนดูแล เธอก็พร้อมทิ้งความฝัน หันมาเผชิญหน้ากับความจริง พยายามหางานทำเพื่อให้เธอมีคุณสมบัติในการเลี้ยงลูกของนีน่า เธอยอมพักความฝันไว้บนหิ้งไปก่อน แล้วหันมาทำในสิ่งที่เธอควรทำเพื่อเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง – เธอใจแกร่งและกล้าหาญมากครับ
ยังมีเรื่องของอดัม นีน่า และตัวละครแวดล้อมที่จริงๆ ก็น่าสนใจ ไหนจะเรื่องแผนสำหรับห้องสมุดเคลื่อนที่ที่เมโลดี้อยากทำ หรือเรื่องของชาวเมืองที่ยินดีมาช่วยเมโลดี้หลังจากทราบถึงสิ่งดีๆ ที่เธอทำ โอย มีอะไรให้เล่าเยอะครับ แต่ด้วยเงื่อนเวลานี่แหละทำให้อะไรๆ ที่ควรจะเข้มข้นครบรสต้องถูกตัดทอนลง นี่ถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงนี่ผมว่าหนังจะเข้าขั้นดีมากเลยนะ หลายฉากต้องกินใจอย่างตอนที่ชาวเมืองมาช่วยซ่อมบ้านเมโลดี้เป็นต้น และน้ำตาต้องมาแน่นอนในฉากที่เล่าถึงคริสต์มาสสุดท้ายของนีน่าน่ะ
อันนี้ไม่โทษ Erica Dunton คนกำกับเลยครับ ผมว่าเธอพยายามแล้วน่ะ และจริงๆ กลวิธีในการเล่าและนำเสนอของเธอมันก็ใช้ได้นะ สอดประสานกับทีมดาราที่แสดงกันได้ดี หรือบทก็น่าสนใจอย่างที่ผมบอกไปแล้ว – เขียนโดย Jamie Pachino ทีมีผลงานบทหนังดีๆ ว่าด้วยวันคริสต์มาสของ Hallmark อยู่หลายเรื่องเหมือนกัน
ใจตอนนี้ได้แต่รู้สึกเสียดายครับ ไม่ใช่หนังเรื่องนี้ไม่ดีนะฮะ จริงๆ ผมว่าหนังดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ เพียงแต่ยังดีได้ไม่สุด – มัน “เกือบๆ” อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ – หนังยังฉายแสงได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆ ที่ตัวเรื่องมันมีของดี มีแสงอยู่ในตัวตั้งเยอะ
แต่กระนั้นก็เชียร์ให้ดูครับ ถือเป็นหนังคริสต์มาส Feel Good ที่ดูแล้วอิ่มเอมไม่น้อย – เพียงแต่มันยังไม่สุดเท่านั้นแหละ
สองดาวใกล้ครึ่งครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Christmas Movies, Drama, Family, Feel-Good Movies, Movie Reviews, Romance, Romance Romance










