Action

Rogue One: A Star Wars Story (2016) โร้ค วัน: ตำนานสตาร์ วอร์ส

Untitled06767

ภาคแยกของ Star wars ครับ (ซึ่งเดี๋ยวคงมีตามออกมาอีก) ถ้าถามว่าสนุกไหม น่าดูไหม ก็ตอบสั้นๆ ตรงนี้เลยว่า หากคุณเป็นแฟน Star Wars หรือชอบหนังแนวไซไฟ ผจญภัยในอวกาศล่ะก็ ดูได้เลยครับ ไม่น่าจะผิดหวังกันล่ะ

เนื้อเรื่องหลักก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่นักรบฝ่ายกบฎเดินทางไปชิงแผนผังของเดธสตาร์ ซึ่งแผนผังที่ว่านี้ก็จะกลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ฝ่ายกบฎเอามาใช้วางแผนถล่มเดธสตาร์ในภาค A New Hope นั่นเอง

ตัวเอกของเรื่องคือ จิน เออโซ (Felicity Jones) ลูกสาวของกาเลน (Mads Mikkelsen) วิศวกรมือหนึ่งที่เป็นคนออกแบบเดธสตาร์ให้กับฝ่ายจักรวรรดิ (แน่นอนว่ากาเลนถูกมองว่าเป็นคนเลวในสายตาฝ่ายกบฎทันที) และต่อมาจินก็ได้กลายมาเป็นผู้นำนักรบไปลุยชิงแผนผังมา

ถ้าว่ากันถึงเนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรเกินคาดเดาครับ มันคือหนังสไตล์คนนอกแถวมาร่วมตัวกันเพื่อปฏิบัติการอะไรสักอย่าง ตอนต้นก็ปูพื้น แนะนำตัวละคร ตอนกลางก็เป็นช่วงผจญภัย, ตัวละครทำความรู้จักกัน มีขัดแย้งกันบ้าง ก่อนที่ตอนท้ายทุกคนจะร่วมมือกันแบบยอมตายถวายชีวิต เพื่อจบภารกิจ

สิ่งที่ผมรู้สึกในตอนแรกๆ ของการดูก็เหมือนตอนดู The Force Awakens ครับ เหมือนอารมณ์ยังไม่มา ความอินยังไม่เกิด ยังจูนไม่ติดเท่าไร ส่วนหนึ่งคงเพราะสไตล์การเล่าเรื่องที่ตัดไปดาวนั้นที ตัดไปดาวนี้ที ช่วงที่ว่านี่ก็รู้สึกเหมือนปลาเปลี่ยนน้ำน่ะครับ ยังมึนๆ กึ่มๆ นิดหน่อย

แต่พอเรื่องเดินไปสัก 20 นาที พอเริ่มจับเนื้อเรื่อง+จำชื่อดาว+จำชื่อตัวละครได้ เครื่องก็เริ่มติดแล้วครับ จากนั้นความสนุกก็มาเรื่อยๆ ไปจนจบ มีครบรสทั้งความลุ้นระทึก, ความตื่นเต้น และฉากแอ็กชันสงครามอวกาศที่ถือว่าทำได้น่าพอใจทีเดียว

Untitled06768

จุดหนึ่งที่ผมอยากบอกไว้เพื่อใช้ปรับลดระดับความคาดหวังก่อนชมก็คืออารมณ์ของหนังที่จะไม่ถึงกับ Epic เท่า Star Wars ภาคหลักครับ อันนั้นด้วยตัวเรื่องและตัวละครมันดูจะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องระดับจักรวาล มันเลยให้อารมณ์มหากาพย์ระหว่างดู ในขณะที่ Rogue One ตัวเรื่องมันจะเป็นสเกลเล็กกว่า ตัวละครก็ไม่ได้มีความสำคัญระดับจักรวาลขนาดนั้น

ดังนั้นใครคาดหวังความอลัง หรือความ Epic แบบภาคหลักก็คงต้องปรับความคาดหวังลงมาครับ เพราะหนังเล่าเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ (ที่อาจไม่มีใครในจักรวาลจำชื่อได้ด้วยซ้ำ) ที่พยายามสู้สุดฤทธิ์เพื่อภารกิจที่มีความหมายมากๆ สำหรับพวกเขา ดังนั้นมันเลยไม่ได้ Epic ยิ่งใหญ่ในระดับจักรวาล

แต่หากมองถึงคุณค่าและความเสียสละของเหล่าตัวละครในเรื่องล่ะก็ ถือว่าหนังถ่ายทอดออกมาได้ดีครับ อย่างน้อยเราก็จำตัวละครหลักได้ และผมเชื่อว่าหลังจากท่านได้ดูเรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่ได้เป็นแค่ “บรรทัดเล็กๆ” ของคำบรรยายในภาค A New Hope อีกต่อไป

อย่างจินถือว่าเด่นตลอดเรื่องครับ ตามด้วยบท เชอร์รุต อิมเวของ Donnie Yen ที่เด่นกว่าที่คิด เรื่องลีลาการบู๊น่ะไว้ใจพี่เขาได้อยู่แล้วครับ แต่ที่เด่นเกินคาดคือการแสดงอารมณ์ที่ได้ที่และได้ใจในหลายวาระ ผมชอบฉากที่เขาสัมผัสถึง “การฆ่า” ในใจคนน่ะครับ หน้าตาเขาบ่งบอกอารมณ์ได้ดี (นี่ไม่นับที่ผมฮาแตกตอนพี่แกบอกว่า “จะคลุมข้าทำไม” อีกนะ ฉากนั้นฮาจริงๆ 555)

ตัวเด่นต่อมาคือหุ่น K-2SO ครับ (Alan Tudyk ให้เสียง) แม้ความเด่นอาจไม่เท่าคู่หุ่นคลาสสิกอย่าง C3PO หรือ R2D2 แต่ก็ถือเป็นหุ่นที่มีคาแรคเตอร์ และน่าจดจำมากทีเดียวในตอนท้าย

ส่วน Diego Luna ในบทแคสเซียน, เจียงเหวิน ในบทเบซ (คู่ซี้ของเชอร์รุต) ก็ถือว่าโอเคกับบทครับ เพียงแต่ความเด่นอาจยังไม่ถึงกับมากแบบเต็มขั้นเท่านั้นเอง (ไปๆ มาๆ ผมว่า Mikkelsen กับ Forest Whitaker ดูจะปล่อยของมากกว่า ทั้งที่บทบนจอมีไม่มาก)

และอีกคนที่ผมชอบคือ Ben Mendelsohn ในบท ออร์สัน เครนนิค ที่ถือเป็นตัวร้ายประจำเรื่อง เอาเข้าจริงแล้วบทนี้อาจไม่ได้เด่นสุดๆ ไม่ได้เป็นตัวร้ายที่น่าจดจำอะไรมาก แต่ถือเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์ในภาคนี้เกิดขึ้น และ Mendelsohn ก็แสดงถึงความบ้าอำนาจ ความน่ารังเกียจ และความน่าสมเพช ของตัวละครนี้ได้ดี (พี่แกเคยเล่นบททำนองนี้มาแล้วใน The Dark Knight Rises ครับ เป็นบทเล็กๆ แต่ก็น่าจดจำแบบนี้เหมือนกัน)

Untitled06769

จุดที่ผมชอบต่อมาคือบรรยากาศในเรื่องน่ะครับ มันกรุ่นกลิ่นสงครามกว่า Star Wars ภาคอื่นๆ เลยนะ เราจะได้เห็นด้านมืดของคนท่ามกลางไฟสงครามที่บางครั้งก็ต้องฆ่าคนอื่นเพื่อปิดปาก คือถ้ามองในแง่ของเกียรติแล้ว ก็คงถูกมองว่าไร้เกียรติน่ะครับ (ถ้าโอบิวันเห็นล่ะก็ คนลงมือคงโดนด่าเปิงหรือไม่ก็โดนเซเบอร์จ่อคอเลยล่ะ)

แล้วก็ได้เห็น “การเมือง” ในสงคราม ที่ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างก็มีคนที่ห่วงผลประโยชน์ตนเอง, หวงเก้าอี้ หรือไม่ก็เลื่อยขาเก้าอี้กัน หรือหากฝ่ายไหนทำท่าว่าจะแพ้ ก็อาจมีคนพร้อมจะถอนตัวเพื่อเอาตัวรอดได้เสมอ มันคือโลกสีเทาน่ะครับ ไม่มีใครเป็นฮีโร่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์

และท่ามกลางอารมณ์กรุ่นสงครามของหนังนั้นเอง เราก็จะได้เห็นธีมหลักที่เป็นแก่นสำคัญของเรื่อง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง” นั่นเอง

ว่ากันจริงๆ ผมชอบธีมนี้นะ คือหนังพยายามถ่ายทอดอารมณ์โลกแห่งสงครามที่มืดมนให้เราเห็น แล้วก็เอาธีม “ความหวัง” สอดแทรกลงไปเป็นเหมือนสิ่งที่สวนทางกัน ซึ่งเรื่องความหวังนี่เดี๋ยวจะว่ากันโซนสปอยล์ครับ ตอนนี้เอาเป็นว่าผมชอบธีมที่ตัดกันอันนี้ เพียงแต่หากถามว่าหนังเอา “สงครามอันมืดมน” มาตัดกับ “ความหวังอันเรืองรอง” ได้ดีหรือไม่ ก็ตอบได้ว่าดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยมน่ะครับ (ยังดีได้อีกนั่นเอง)

ก่อนจะสู่โซนสปอยล์ก็ขอสรุปว่าโดยรวมหนังทำได้ดีครับ การเล่าเรื่องน่าติดตาม ฉากแอ็กชันน่าพอใจ ฉากสงครามในตอนไคลแม็กซ์ก็ถือว่ายิ่งใหญ่และมีลุ้นพอสมควร เพียงแต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้อาจยังไม่ถึงกับสุดยอดเต็มขั้นน่ะครับ มันยังไม่พีค ยังไม่ถึงขั้นมันส์แบบเต็มๆ

และหนังมามีจุดน่าเสียดายในตอนฉากปิดท้ายครับ มันคือฉากจบเรื่องที่จะเชื่อมไปยังภาคอื่นๆ แต่ฉากที่ว่านี่มันดูรวบรัดไปหน่อยครับ ตอนดูเกือบอุทานเลยว่า “จะรีบไปไหนพี่” จริงๆ หากให้เวลาฉากนี้อีกสัก 1 นาที วางจังหวะให้ดีๆ แลนดิ้งให้นิ่มๆ ล่ะก็ มันจะเป็นอะไรที่ลงตัวมากมายเลยล่ะครับ แต่นี่เพราะเร่งไป อารมณ์มันเลยห้วนไปหน่อย

แต่หากว่าโดยรวมแล้วก็ถือเป็นงานที่คุ้มค่าแก่การดูครับ ผู้กำกับ Gareth Edwards คุมหนังได้ดีทีเดียว จนเรียกได้ว่านี่คืองานชิ้นที่ดีที่สุดของเขา (จนถึงตอนนี้)

อ้อ สำหรับคนที่อยากเห็นท่านดาร์ธ เวเดอร์ล่ะก็ ในเรื่องเราจะได้เห็นไม่เยอะครับ แต่ไอ้ไม่เยอะที่ว่าเนี่ย มัน “ได้ใจโคตร” เลยนะครับ (ได้ใจเพราะอะไร อยู่ในโซนสปอยล์ครับ)

+++++++++++++++++++++++
+++ถัดจากนี้มีสปอยล์นะครับ+++
+++++++++++++++++++++++

1) ว่าถึงฉากท่านลอร์ดเวเดอร์เลยแล้วกัน ผมชอบฉากที่ท่านลอร์ดเวเดอร์แกออกมาตอนซีนท้ายน่ะครับ เป็นฉากเด็ดที่สุดของหนังก็ว่าได้ เพราะเราจะได้เห็นท่านลอร์ดในมาดโหดแบบที่เราไม่ได้เห็นจากภาคอื่นๆ

อันนี้สารภาพครับว่าดาร์ธ เวเดอร์นั้นเป็นตัวร้ายที่ผมไม่รู้สึกกลัวหรือเกรงขามพี่ท่านสักเท่าไร อันนี้รู้สึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว คือแอบคิดมาตลอดว่าอยากเห็นท่านลอร์ดในมาดโหดสักครั้ง อยากรู้น่ะครับว่ามันจะโหดได้แค่ไหน

ปรากฏว่าภาคนี้มาเลยครับ ท่านลอร์ดไล่ฆ่าลูกยานฝ่ายกบฎ ด้วยภาพและจังหวะนี่ทำผมขนหัวลุกเลยนะ คำถามที่เคยมีว่า “ดาร์ธ เวเดอร์น่ากลัวตรงไหน” บัดนี้ได้รับคำตอบแล้วครับ ผมเชื่อแล้วว่าท่านน่ากลัวแค่ไหนตอนเอาจริง… ดังนั้นสำหรับผม แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็คุ้มแล้วครับ

“การได้เห็นท่านลอร์ดเวเดอร์ “โหดจริง” สักครั้งในชีวิต ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาให้ข้าน้อยโดยแท้” (ขอคารวะด้วยโรมูลัน เอลสัก 3 จอก 555)

2) กล่าวได้ว่าธีมสำคัญอย่างหนึ่งของหนังคือ “ความหวัง จะเป็นพลังสำหรับคนที่เชื่อ และจะเป็นจุดอ่อนสำหรับคนทีประมาท”

ประโยคเด็ดของหนังพูดไว้ว่า “ฝ่ายกบฎเกิดได้เพราะความหวัง” เพราะท่ามกลางภาวะอันมืดมนยามฝ่ายจักรวรรดิครองกาแลคติกและเหล่าเจไดสูญสิ้น ผู้คนต่างท้อแท้ หมดอาลัย และรู้สึกว่าชีวิตไร้อนาคต ทว่าเพราะคนยังมี “ความหวัง” ครับ ความหวังที่จะกอบกู้ ความหวังที่จะพิชิตจักรวรรดิ ความหวังที่จะประกาศอิสรภาพ

ความหวังนี่เองที่ทำให้คนมารวมตัวกัน เป็นฝ่ายกบฎที่ทุกคนมีจุดหมายร่วมกันคือการหยุดยั้งความโหดร้ายของฝ่ายจักรวรรดิ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตและเลือดเนื้อก็พร้อมยอมพลี

แต่ “ความหวัง” ที่เป็นไฮไลท์จริงๆ คือความหวังของกาเลนครับ เขายอมทำงานให้จักรวรรดิ ยอมสร้างเดธสตาร์ ยอมโดนหาว่าเป็นคนเลว ทั้งหมดก็เพื่อแทรก “จุดอ่อน” ลงในเดธสตาร์ และเหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อลูกสาวของเขานั่นเอง

เขาไม่รู้หรอกว่าลูกของเขาจะยังมีชีวิตอยู่ไหม แต่ความหวังของเขาก็คือ “ลูกของเขายังไม่ตาย” และนั่นเป็นเหตุผลอันเพียงพอแล้วที่จะทำทุกอย่างเพื่อยุติความโหดร้ายของจักรวรรดิ เพื่อมอบโลกอันสงบสุขและสันติให้กับลูกของเขาที่อาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาล

“ความหวัง” ที่เกียวกับลูกสาวนั้น ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับ “คนเป็นพ่อ” อย่างกาเลน

นอกจากที่เดธสตาร์ต้องพินาศเพราะความหวังแล้ว ตัวร้ายประจำตอนอย่างออร์สันก็ต้องพบกับความพินาศอันเนื่องจากคำว่า “ความหวัง” เช่นกัน

ความหวังดอกแรกที่สร้างความพินาศให้ออร์สันคือความหวังที่ซ่อนอยู่ในใจกาเลน และความหวังดอกที่สองก็คือ ความหวังที่จินและพวกกบฎมีอยู่ในใจพวกเขา… ออร์สันประมาทในความหวังและความรักของคนมากจนเกินไป และหนังยังทำให้เราเห็นอีกว่าอำนาจที่เขาหลงใหลนั้น หาได้จีรังไม่

(อดคิดไม่ได้ว่าหากออร์สันไม่ดื้อดึงเอาตัวกาเลนมาทำงานให้ แต่ไปหาเอาวิศวกรมือรองที่ไร้อุดมการณ์หรือฝักใฝ่ในจักรวรรดิมาทำแทน รูปการณ์จะเปลี่ยนไปจากนี้ไหม?)

จะว่าไปในหนัง Star Wars นั้นจะมีธีม “ความหวัง” แทรกอยู่ตลอด และนั่นก็เป็นจุดที่ผมมองว่าหนังภาคแยกนี้สามารถเชื่อมเข้ากับหนังภาคหลักได้อย่างน่าชื่นชม เรียกว่าธีมยังคงความเป็น Star Wars ไว้ได้ดีทีเดียว

และโดยส่วนตัวผมมองว่าแง่คิดสำคัญของหนังชุดนี้คือ “จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท” เพราะทั้งคนร้ายและคนดีในเรื่องต่างก็มักจะพลั้งพลาดเพราะประมาทนี่แหละ (ยามด้านสว่างประมาท ด้านมืดก็ผงาด แต่ครั้นด้านมืดประมาท ด้านสว่างก็ตีโต้ได้เสมอ)

3) มีจุดน่าเสียดายเล็กๆ อีกหนึ่งอย่างคือ CG ที่หนังใช้สร้างมอฟ ทาร์คินกับเจ้าหญิงเลอานั้นยังไม่เนียนเท่าที่ควร บางจังหวะมีตาลอย-ตาหลุดอยู่เหมือนกัน อันนี้ก็หวังว่าตอนออกแผ่นจะมีการรีมาสเตอร์เพิ่มความเนียนเขาไปอีกสักหน่อยน่ะนะครับ 😊

สองดาวเศษสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)