
ปี 2016 เป็นปีแห่งหนังภาคต่อข้ามทศวรรษครับ ตอนแรกนึกว่า Zoolander กับ My Sassy Girl มีภาคต่อที่ห่างจากภาคที่แล้ว 15 ปี ผมว่าก็นานแล้วนะ แต่เจอเรื่องนี้แซงขาดไปเลยครับ
เรื่องนี้เป็นภาคต่อของ ไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน หากนับนิ้วหักลบแล้วก็จะพบว่าสร้างห่างจากภาคที่แล้วถึง 21 ปีครับ คือชนะเลิศไปเลยนะ ขนาด Star Wars ภาค Return of the Jedi กับ Episode I ที่ว่าห่างกันนานๆ ยังห่างแค่ 16 ปีน่ะครับ
อันว่าไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน 2 ภาคแรกเป็นงานแสดงชิ้นเด่นอีกเช่นหนึ่งของเฮียโจวซิงฉือครับ ตัวหนังทำออกมาได้สนุก และที่มีมากกว่าความสนุกคือแก่นสารสาระ หนังแฝงประเด็นเรื่องความรัก-ความแค้น-การปล่อยวางในโลกอันแสนวุ่นวายลงไปอย่างพอเหมาะ และที่หลายคนจดจำได้ดีคือความซึ้งในบทสรุปที่แอบเสียดแทงใจผู้ชมอยู่ลึกๆ
จำได้ว่าตอนฉายในบ้านเรา หนังภาค 2 ถูกบ่นมากมายว่าดูยาก ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธครับ เพราะการตัดต่อเรียงลำดับเรื่องมันอาจเร็วและห้วนจนงงไปนิด แต่พอเอามาดูซ้ำแบบเก็บรายละเอียดจะพบว่ามันมีของดีแบบที่หาไม่ได้ในหนังเรื่องอื่นๆ ของเฮียโจว
โดยส่วนตัวผมว่าหนังจบสมบูรณ์ไปในภาค 2 แล้วครับ จบแบบไม่ต้องสานต่ออะไรอีกแล้วล่ะ แต่พอมีการทำภาค 3 ออกมาอีกโดยมี Jeffrey Lau หรือ หลิวเจิ้นเหว่ย ผู้กำกับจาก 2 ภาคแรกตามมากำกับ ผมก็พร้อมจะตามไปดูน่ะครับ แต่ลึกๆ ก็เผื่อใจไว้เยอะเหมือนกัน (ยิ่งหนังจีนยุคนี้เน้น CG จนลืมทุกสิ่งอย่างด้วย)
ภาคนี้สานต่อเรื่องจากภาคที่แล้ว หลักๆ หนังก็ว่าด้วยความรักของจางจุนเป่าและนางฟ้าจื่อเสีย ประมาณว่าจื่อเสียใช้กล่องแสงจันทร์ทะลุเวลาไปดูอนาคตแล้วก็พบว่านางจะไม่สมหวังในรัก (แบบที่เราเห็นในตอนจบภาค 2) นางเลยพยายามเปลี่ยนปัจจุบันเพื่อที่อนาคตจะได้จบลงด้วยดี
แต่เรื่องมันยังมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นครับ มันมีเรื่องของสวรรค์มาเกี่ยวด้วย แต่จะเกี่ยวยังไงแนะนำให้ลองชมเองจะดีที่สุดครับ เพราะปมความซับซ้อนนี้ก็ช่วยให้หนังดูน่าสนใจขึ้นไม่น้อยเหมือนกัน

ผมก็ขอมองหนังเรื่องนี้ในหลายมุมนึดนึงครับ มุมแรกคือมองในฐานะหนังภาคต่อ ก็บอกได้ว่า 2 ภาคแรกมันเข้าขั้นคลาสสิกกว่า ประเด็นต่างๆ มันดูกลมกลืนและมีความหมายกว่า แม้การเดินเรื่องภาค 2 อาจจะงงนิดๆ แต่หากเอามาเรียงลำดับดีๆ ก็จะพบว่าเรื่องมันลึกซึ้งพอดู และทุกอย่างก็จบไปแล้วในภาค 2 นั่นแหละ
ในขณะที่ภาคนี้จริงๆ ก็ชื่นชมคนเขียนบทเหมือนกันครับ พยายามหาประเด็นมาจับ เหมือน Back to the Future II หรือ The Mummy Returns น่ะครับ ที่พยายามใส่เรื่องราวเพิ่มเข้าไป ประมาณว่าที่เราเห็นในภาคแรก มันอาจยังไม่หมดนะ มันอาจมีอะไรมากกว่านั้นซ่อนอยู่ในเรื่องราวภาคแรกนะ
ซึ่งประเด็นและเรื่องที่เพิ่มเข้ามาจะว่าไปก็ไม่เลวน่ะครับ ถือเป็นการเพิ่มเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กับเรื่องใน 2 ภาคแรกได้เข้าท่าพอตัว แต่ส่วนหนึ่งเพราะ 2 ภาคแรกมันจบลงตัวในแบบของมันไปแล้วน่ะครับ เลยทำให้การพยายามเสริมเรื่องคราวนี้แม้จะเข้าท่า แต่ก็ดูจะไม่จำเป็นเท่าไร
นอกจากนี้ระหว่างดู จริงๆ ผมก็เพลินไปกับเรื่องราวนะ แต่พอดูจบแล้วมานั่งคิดก็จะพบว่าหลายอย่างมันก็มีจุดโหว่เหมือนกัน และบางคำอธิบายในภาคนี้แทนที่จะทำให้กระจ่าง ดันก่อให้เกิดคำถามใหม่แทนซะอีก และอีกอย่างคือหากยึดเอาตอนจบภาคนี้ล่ะก็ จะเท่ากับตอนจบที่กินใจมากๆ ในภาค 2 จะหายไปเลย (ซึ่งลึกๆ ในใจผมก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นน่ะครับ)
ดังนั้นหากมองในมุมภาคต่อ ก็แอบรู้สึกผสมๆ กันน่ะครับ จะว่าโอเคก็โอเคอยู่ แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าภาค 2 มันลงตัวไปแล้ว และจบซึ้งดีด้วย ดังนั้นภาคนี้แม้จะทำออกมาไม่เลวก็ตาม แต่ในฐานะคนดู 2 ภาคแรกมาแล้วชอบมาก ก็อยากจะมองว่าภาคนี้เป็นภาคผนวกมากกว่าจะเป็นภาคต่อจริงจัง
ทีนี้หากมองในมุมว่าเป็นหนังแฟนตาซีสักเรื่องในยุคเน้น CG แบบไม่เอา 2 ภาคแรกมาเปรียบเทียบเลย จริงๆ หนังก็ไม่เลวน่ะครับ มันคือหนังแฟนตาซีผจญภัยผสมตลกที่ดูเพลินในระดับหนึ่ง
คือถ้าดูแบบไม่คิดมากผมว่ามันก็สนุกดีไม่น้อยน่ะครับ เนื้อเรื่องก็ซับซ้อนดี ปมก็พยายามผูกดี คือถ้ามองแบบเอา 2 ภาคแรกมาเป็นตัวตั้งต้น เราก็อาจเห็นจุดที่ขัดแย้งกันในส่วนของเนื้อเรื่องหรือปูมตัวละคร แต่ถ้ามองเป็นหนังเดี่ยวๆ ไม่เอา 2 ภาคแรกมาอ้างอิง แล้วเสพเฉพาะเนื้อเรื่องในภาคนี้เพียวๆ หนังมันก็ดูมีเหตุผลในแบบของมันน่ะครับ
อารมณ์คล้ายๆ My New Sassy Girl นั่นแหละ คือถ้าดูแบบไม่เอาภาคแรกมาเอี่ยว มันก็พอจะเพลินได้บ้าง และมีคุณค่าในแบบของตัวเองบ้าง แต่หากมองในฐานะหนังภาคต่อ คุณค่าก็อาจถูกลดทอนไปบ้าง เนื่องจากภาคก่อนๆ ปักหมุดหลักไมล์ไว้ดีเกิน
ในขณะที่ธีมหนังก็เหมือนหนังแฟนตาซีของจีนสมัยใหม่น่ะครับ เน้น CG เยอะเหมือนเดิม แต่ดีหน่อยที่เรื่องนี้แม้จะเน้น CG แต่ก็มีหลายฉากที่ผสมจินตนาการเข้ากับ CG ได้ดีเหมือนกัน อย่างฉากสู้กันตอนท้ายนั่น ถือว่าหนังเนรมิตการต่อสู้ได้ดีพอสมควร
และที่ผมชอบเพราะมันเป็นการเนรมิตที่เน้นตรงจินตนาการมากกว่า CG ประมาณว่าหนังแนวนี้ส่วนใหญ่จะพยายามยัดฉาก CG เข้ามาเยอะๆ (นัยว่าคนดูชอบ) แม้บางทีจะไม่จำเป็นต้อง CG อะไรขนาดนั้นเลย แต่เรื่องนี้เหมือน CG เป็นตัวช่วยเติมเต็มจินตนาการของผู้กำกับให้มันออกมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มน่ะครับ เลยทำให้ฉาก CG หลายๆ ฉากออกมาดูมีอะไร ไม่ได้เว่อร์วังอลังการแต่โล่งโถงแบบที่หนังหลายๆ เรื่องเป็นกัน
ผมชอบฉากเจ้าแม่กวนอิมปราบหงอคงนะ ธีมมันชัดดี เริ่มจากน้ำหนึ่งหยด แล้วก็จบด้วยน้ำหนึ่งหยด รายละเอียดฉากที่ว่าก็ทำได้เข้าท่าดี ส่วนฉากตอนท้ายที่หงอคงตีกับเจ้ากระทิงก็ทำได้สนุกไม่เลวครับ ก็ปฏิเสธไม่ได้นะว่า CG ในเรื่องอาจไม่ได้เนี๊ยบมากมาย แต่การออกแบบคิวบู๊ (บน CG) มันออกมาโอเคน่ะครับ อารมณ์มันเลยได้อยู่
ส่วนนักแสดง คนที่เด่นสุดเด่นจริงต้องยกให้ ถังเยียน ในบทนางฟ้าฝาแฝดจื่อเสียและชิงเสีย เรื่องความสวยและน่ารักนั้นกินขาดอยู่แล้วครับ และเธอยังดูละม้ายคล้าย จูอิน เจ้าของบทนี้ใน 2 ภาคต้นฉบับด้วย ก็ถือว่าแสดงได้ดีครับ (แต่ขอเพียงอย่าเอาไปเทียบกับ จูอิน เท่านั้นเอง)
ส่วน หางเกิง ที่มารับบทนี้แทนโจวซิงฉือ (ที่ด้วยอายุ 54 ปีแล้ว คงมาสานต่อบทนี้ไม่ได้อยู่แล้ว) ซึ่งถ้าไม่คิดมาก ถ้ามองแบบไม่เอาภาคแรกมาเทียบ ก็ถือว่ากลางๆ น่ะครับ (นี่คือไม่เอามาเทียบแล้วนะ 555) ต้องยอมรับว่าความเด่นเทไปที่ถังเยียนหมด
ผมว่าบทจุนเป่าของเดิมใน 2 ภาคแรก เขาดูเท่ห์ในแบบของเขาน่ะ คือดูเป็นตัวของตัวเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะเฮียโจวแกมักจะเล่นคาแรคเตอร์แบบนี้ให้ดูไม่เหมือนใคร ฮาแบบหน้าตาย ครั้นพอจะซึ้งก็เล่นเอาอึ้ง (เพราะแม้ใช้เวลาไม่มากในการปูพื้นด้านความซึ้ง แต่มันถึงจุดซึ้งได้สำเร็จ) อะไรพวกนี้เลยทำให้จุนเป่าดั้งเดิมมีเอกลักษณ์
ในขณะที่จุนเป่าเวอร์ชั่นหางเกิงออกแนวฮาหน้าเป็น ยิ่งบทมากำหนดให้จุนเป่าเวอร์ชั่นนี้ไล่อ้อนจื่อเสียตลอดเรื่อง และไม่ค่อยได้แสดงความเป็นผู้นำเท่าไร เลยทำให้บทนี้ไม่ค่อยแข็งเท่าไร กลายเป็นเหมือนบทรองไปน่ะครับ (ทั้งๆ ที่จริงๆ บทของหางเกิงมีช่วงให้ซึ้งไม่น้อย แต่อารมณ์มันก็ไปไม่ถึงน่ะครับ)
อีกคนที่เด่นคือ อู๋จิง ครับ พี่ท่านเป็นพระถังสายฮาได้น่ารักดี ต้องยอมรับว่าหนังฮาได้เยอะก็เพราะพระถังคนนี้แหละครับ ในขณะที่ดารารายอื่นๆ ก็เรื่อยๆ แม้แต่ม่อเหวินเหว่ยที่กลับมารับบทเดิม ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก มีแค่ตอนต้นๆ เท่าที่เห็นในตัวอย่างนั่นแหละ
สรุปนะครับว่าภาคนี้สู้ 2 ภาคก่อนไม่ได้ แต่ถ้าดูแบบไม่คิดมาก ไม่เอา 2 ภาคก่อนมาเป็นตัวเปรียบเทียบ หนังก็พอดูได้เพลินๆ ครับ อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นหนังจีนเน้น CG ที่ผมรู้สึกโอเคมากที่สุดในปีนี้ เพราะเรื่องอื่นเน้น CG จนหลุดด้านเนื้อเรื่องไป แต่กับเรื่องนี้หนังยังพอมีประเด็นให้ติดตาม มีการหักมุมอะไรอยู่บ้าง และ CG แม้จะอุดมก็ตาม แต่หน้าที่ของ CG ในเรื่องดูจะมีไว้เพื่อ “รับใช้” การเล่าเรื่องราวมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ (ที่ดูจะส่ง CG มารับใช้คนดูจนลืมเนื้อเรื่องไป)
ไม่ผิดหวัง แต่ก็ยังไม่สมหวังครับ ประมาณนั้น 😊
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Chinese/Hong Kong/Taiwan Movies, Comedy, Drama, Fantasy, Movie Reviews










