Comedy

Two Night Stand (2014) รักเธอข้ามคืน…ตลอดไป

Untitled06699

ก่อนดู Two Night Stand ผมแอบคาดหวังว่าหนังจะมาทางเดียวกับ Before Sunrise ครับ ประมาณว่าหนุ่มสาวที่ไม่เคยพบกันมาก่อนได้มาเจอกัน แล้วก็นั่งคุยเรื่องต่างๆ กันทั้งวันคืน ครั้นพอได้ดูก็พบว่ามันไม่เชิงเป็นแบบนั้นครับ

เมแกน (Lio Tipton) หลังจากเลิกกับแฟนแล้วเธอก็ไปไม่เป็นกับชีวิตอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเพื่อนร่วมห้อง (Jessica Szohr) เชียร์ให้เธอมูฟออนโดยการเข้าไปลองหาคู่เดตออนไลน์แบบมีอะไรกันข้ามคืน แล้วเธอก็ได้เจอกับอเลค (Miles Teller) ได้มีอะไรกันแบบข้ามคืนตามความตั้งใจที่ห้องของอเลค

ทีนี้พอตื่นขึ้นมาเมแกนก็กะจะย่องออกไปจากห้องแบบเงียบๆ แต่ดันเกิดเรื่องวุ่นๆ ซะก่อน และไหนจะมีพายุหิมะพัดถล่มเมืองจนเธอออกจากตึกนั้นไม่ได้ เมแกนกับอเลคเลยติดแหงกอยู่ด้วยกัน และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของความสัมพันธ์แบบ Two Night Stand

ดูไปก็พอจะเข้าใจคอนเซปต์ครับ หนังตั้งคำถามว่าถ้าคนสองคนที่มามีความสัมพันธ์แบบข้ามคืนด้วยกัน แล้วมีเหตุให้ต้องใช้เวลาร่วมกันมากกว่าหนึ่งคืนล่ะ มันจะเป็นอย่างไรต่อไป และด้วยความที่บทหนังกำหนดให้ตัวละครทั้ง 2 คนไม่ได้เป็นแค่ชายหญิงที่รักสนุก แต่ต่างคนต่างก็มีปมในใจทำให้เลือกที่จะทำอะไรแบบนี้ ด้วยความหวังว่ามันจะนำพาพวกเขาให้ออกจากวังวนของเรื่องที่กำลังกลุ้มใจ ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาเลยมีต่อกันมากกว่าแค่เรื่องบนเตียง

คิดเหมือนกันว่าถ้าชายหญิงคู่นี้คิดแต่เรื่องเซ็กซ์อย่างเดียว รักสนุกอย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องอื่นเลย หนังจะเดินไปยังไงต่อ

ทีนี้หลายคนอาจคิด (รวมถึงผมด้วย) ว่าพอพวกเขามีเหตุให้ต้องติดอยู่ด้วยกันในห้องแบบนี้แล้ว มันจะนำพามาซึ่งเรื่องราวแบบ Before Sunrise ไหม ประเภทว่าตัวละครมาเปลี่ยนมุมคิด แลกมุมมอง และแบ่งปันทัศนคติเกี่ยวกับชีวีตต่อกัน – คำตอบก็คือไม่เชิงแบบนั้นครับ ผมว่าโทนของเรื่องมันพาเราไปสู่แนวโรแมนติกวัยรุ่นเสียมากกว่า คือการคุยกันเรื่องชีวิตมันก็มีบ้างครับ แต่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก

Untitled06700

พูดแบบเข้าเป้าเลยคือครึ่งแรกหนังใช้เวลาไปกับเรื่องชักโครกและเรื่องกัญชาเสียมากครับ อันนี้คือจริงจังเลยนะ หนังวนอยู่กับอะไรพวกนี้จริงๆ ในครึ่งแรก ซึ่งก็พอเข้าใจว่าบทหนังคงเขียนส่วนนี้ขึ้นเพื่อให้ตัวละครละลายพฤติกรรมต่อกัน จะได้มีเรื่องให้คุยแล้วจะได้ตามด้วยการปรับเข้าหากัน แต่โดยส่วนตัวผมว่าหนังใช้อะไรอย่างอื่นเป็นตัวละลายก็ได้ครับ จะหนังสือก็ได้ หนังก็ได้ สภาพดินฟ้าอากาศก็ได้ หรือเรื่องอาหารการกินเป็นต้น – แต่พอหนังเลือกที่จะใช้เรื่องชักโครกมาเป็นตัวเดิน มันก็อาจดูไม่น่าอภิรมย์นักน่ะครับ อย่างผมนี่ก็คนหนึ่งล่ะ ยอมรับว่ารู้สึกแปร่งๆ ไม่น้อย เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องชวนรู้สึกดีเท่าไรน่ะนะครับที่เราต้องมานั่งวนเวียนจ้องแต่ชักโครกกับอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมันน่ะ

แต่ก็อย่างที่บอกครับ ครึ่งแรกน่ะละลายพฤติกรรม ส่วนครึ่งหลังหนังก็เริ่มให้พวกเขาคุยถึงชีวิต แลกเปลี่ยนมุมมองตั้งแต่เรื่องชีวิตคู่ไปจนถึงเรื่องเซ็กซ์ แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งชวนคิดอะไรขนาดนั้นครับ เหมือนต่างคนต่างแบ่งปันประสบการณ์ที่เคยผ่านมา รวมถึงเผยปมที่เคยมีในอดีต แต่ถึงจะไม่ได้ลึกซึ้งกินใจ แต่มันก็ดูได้เรื่อยๆ น่ะครับ อันนี้คงต้องขอชมนักแสดงนำทั้ง 2 ที่ทำหน้าที่ได้ดี มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนทั้งคู่ และพวกเขาดูมีตัวตนน่ะครับ คือมีทั้งมุมน่ารักและมุมน่าหงุดหงิดตามประสามนุษย์ปุถุชน

ผมว่าอย่างน้อยหนังก็ทำสำเร็จครับ ตรงที่ทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขาน่าจะลองคบกันดู คือผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าพวกเขาจะไปรอดไหม จะคบกันได้นานไหม แต่มันดูมีความเป็นไปได้น่ะครับ อยากให้ลองคบกัน เรียนรู้กัน ค่อยๆ ปรับเข้าหากัน ซึ่งสุดท้ายเแล้วเรื่องของพวกเขาจะลงเอยอย่างไรนี่ผมว่าหลายท่านคงพอเดาได้นั่นแหละ เพราะอย่างที่บอกว่าทิศทางของหนังคือโรแมนติกวัยรุ่น ดังนั้นมันจึงมักจะลงสูตรสำเร็จแบบแฮปปี้อยู่เสมอ

ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังก็มีเรื่องเซ็กซ์เยอะอยู่ ไม่ได้หมายถึงฉากโป๊เปลือยนะครับ แต่หมายถึงการสนทนาถกประเด็นกันเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมบนเตียง ดังนั้นดูแล้วก็อาจต้องพินิจคิดไตร่ตรองด้วยนะครับ

แต่ในแง่หนึ่งหนังก็ฝากแง่คิดชีวิตคู่ไว้เหมือนกันนะครับ อย่างแรกเลยคือเรื่องการปรับตัวเข้าหากัน อันนี้แน่นอนครับว่าคนเราย่อมมีความแตกต่างกัน เพราะโตมาต่างที่ วิธีเลี้ยงดูก็แตกต่าง สังคมและสิ่งแวดล้อมก็อาจต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิธีคิดและวิธีปฏิบัติมันจะต่างกันไป ดังนั้นมันจึงต้องมีการปรับจูนเข้าหากันครับ อันไหนไม่ตรงกันก็ค่อยๆ ปรับ หรือไม่ก็ทำความเข้าใจตัวตนของอีกฝ่าย เปิดใจยอมรับเท่าที่จะทำได้ – ถ้าทำไม่ไหวหรือไปไม่รอดก็ค่อยมาว่ากันอีกที

การปรับเข้าหากันนี่ก็ใช้ได้กับทุกเรื่องครับ ตั้งแต่การพูดจาสนทนากัน การปฏิบัติตัวต่อกัน เรื่อยไปจนถึงเรื่องบนเตียงที่บางครั้งก็ไม่ควรหลับหูหลับตาแบบไม่รับรู้ความต้องการที่แตกต่างของอีกฝ่าย ค่อยๆ คุยกันครับ ค่อยหาทางไปต่อด้วยกัน

Untitled06701

ประเด็นต่อมาคือการบริหารอารมณ์ครับ คนเราหงุดหงิดได้ ไม่พอใจได้ โกรธได้เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เราควรระมัดระวังไม่ให้ห้วงอารมณ์เหล่านั้นกลายมาเป็นนายคุมบังเหียนชีวิตเรา เพราะมีโอกาสสูงมากที่มันจะพาเราเข้ารกเข้าพง หรือทำให้เราเผลอทำเรื่องที่เราเองอาจต้องเสียใจภายหลัง ของแบบนี้ก็ต้องเตือนตัวเองให้ฝึกฝนครับ เพราะหายากที่จะมีคนสามารถคุมอารมณ์ได้ตั้งแต่เกิด มันก็ต้องฝึกกันหน่อย ซึ่งหากเราทำได้แล้ว มันจะไม่ได้มีผลดีแค่เรื่องชีวิตคู่ แต่มันจะส่งผลดีไปยังสารพัดสิ่งในชีวิตที่มีเรื่องอารมณ์เข้าไปเกี่ยวข้อง

และขณะเดียวกันเราก็ควรใส่ใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นด้วยครับ ที่บอกให้คุมนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้แปลว่าให้เราเพิกเฉยต่อห้วงอารมณ์ต่างๆ เพราะยามที่เราเกิดห้วงอารมณ์ใดขึ้นนั้น แสดงว่ากำลังมีบางอย่างเกิดขึ้นภายใน มันคือสื่อสัญญาณจากจิตใจที่เราก็ควรรับฟัง ควรลองพิจารณา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ หรือไม่ก็ลองจ้องตากับมัน เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวเราภายในมากขึ้น และนั่นคือทักษะที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วมันก็จะย้อนมาส่งผลบวกต่อเรื่องการควบคุมตนเองครับ – เรื่องพวกนี้มันเชื่อมถึงกันอยู่ครับ

อีกเรื่องนะครับ – หากทำอะไรผิดพลาดพลั้งไป ทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจหรือเป็นทุกข์ ก็เอ่ยคำขอโทษครับ คำๆ นี้เยียวยาได้ดีกว่าที่ใครจะคาดคิดนะครับ

ผู้กำกับเรื่องนี้คือ Max Nichols ลูกชายของผู้กำกับ Mike Nichols ครับ และจนถึงตอนนี้ (ปี 2023) นี่คือผลงานการกำกับหนังเรื่องเดียวของเขา นอกนั้นเคยทำมิวสิควีดีโอมารอบหนึ่ง กับกำกับทีวีซีรี่ส์อยู่ตอนหนึ่ง

และมีอยู่อย่างหนึ่งที่รู้สึกครับ คือหนังเรื่องนี้ 90% เดินเรื่องในห้องใช่ไหมฮะ แต่พอฉากไหนที่ไปถ่ายข้างนอกเช่นตามท้องถนน ผมรู้สึกเลยว่าผู้กำกับภาพตั้งใจกับฉากพวกนี้มากๆ เพราะองค์ประกอบของภาพมันดูสวยและเด่นมาก โดยเฉพาะตอนจบของเรื่อง – อารมณืเหมือนเก็บกดน่ะครับ ถ่ายภาพในห้องเสียเยอะ พอเจอฉากข้างนอกที่กว้างๆ พี่แกเลยจัดเต็มซะเต็มฝีมือเลย 555 – ซึ่งผู้กำกับภาพก็คือ Bobby Bukowski แห่ง Arlington Road นั่นเอง

สรุปนะครับ Two Night Stand อาจไม่ใช่หนังที่กลมกล่อม ยอดเยี่ยม ลงตัวอะไรขนาดนั้น แต่มันก็โอเคครับ ดูได้เรื่อยๆ ดาราแสดงกันดี มีความน่ารัก มีความโรแมนติก เคมีไปกันได้ ก็ถือว่าไม่เลวครับสำหรับแนวทางของมัน

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)