
ความกระตือรือร้นในการดู Scream VI ของผมนี่ยอมรับว่าไม่มากเท่าไรครับ คือถ้ามีให้ดูก็พร้อมดู แต่ไม่รีบไม่ร้อนอะไร ยิ่งรู้ว่าเดี๋ยวจะมีภาคต่อตามมาอีกก็ยิ่งเรื่อยๆ ทางอารมณ์ครับ – แต่ไม่ใช่ไม่อยากดูนะครับ มันก็ยังอยากดูอยู่ เพียงแต่ดีกรีความอยากดูมันไม่ได้มากเท่าสมัยก่อนตอนรอดูภาค 2 ภาค 3 น่ะ จำได้สมัยนั้นนี่ถึงขั้นเล็งวันพุ่งเข้าโรงเลยทีเดียว – สงสัยชักจะแก่แล้วครับ 555
สำหรับภาคนี้ ก็โอเคนะครับ สนุกอยู่เหมือนกัน ถ้าให้เรียงตามดีกรีความชอบแล้วผมยังชอบภาคแรกมากที่สุดอยู่ รองลองมาก็ภาค 4 ส่วนภาค 2 กับ 5 นี่ชอบพอๆ กันในลำดับถัดมา ส่วนภาค 3 ชอบเป็นเรื่องรั้งท้าย และสำหรับภาค 6 นี่ถ้าให้ประเมินคร่าวๆ ก็ถือว่าชอบพอๆ กับภาค 4 ครับ – จริงๆ ถ้าพูดถึงความเพลินนี่ผมชอบมากกว่าภาค 4 นะ แต่เพราะมันมีบางจุดบางประเด็นของภาคนี้ที่ลดทอนความเพลินลง พอคำนวณสะระตะแล้ว ก็เลยเป็นชอบพอๆ กับภาค 4 ไป
เรื่องราวต่อเนื่องจากครั้งก่อนครับ หลังจากพี่น้องคาร์เพนเตอร์ แซม (Melissa Barrera) และทาร่า (Jenna Ortega) รอดจากคมมีดฆาตกรมาได้และย้ายไปอยู่ในนิวยอร์ก แต่ก็ตามเคยครับ หนนี้พวกเธอและผองเพื่อนต้องเจอกับฆาตกรอีกครั้ง แล้วก็ต้องมานั่งหาคำตอบกันว่าใครคือฆาตกร และมันทำไปเพื่ออะไร โดยระหว่างนั้นก็จะต้องมีคนตายรอบๆ ตัวพวกเธอครับ เรียกว่ากว่าจะถึงตอนเฉลยนี่ เลือดก็เลอะนิวยอร์กไปไม่น้อยเหมือนกัน
โอเค ผมเพลินกับภาคนี้เยอะอยู่ครับ ตอนเปิดเรื่องก็มาพร้อมฉากฆ่าตามแบบฉบับของหนังชุดนี้ ก่อนที่จะเข้าเรื่องไปบอกเล่าชีวิตของแซมและทาร่า ซึ่งช่วงที่ว่านี่ก็สารภาพว่าแอบสัปหงกนิดหน่อยเหมือนกันครับ แต่พอหนังเริ่มเข้าประเด็น ฆาตกรเริ่มไล่ตามพวกแซมความสนุกก็เริ่มไหลมา ภาคนี้การเล่าเรื่องดูจะคล่องคอกว่าภาคก่อนครับ ถ้าไม่นับช่วงตอนต้นที่จะเซื่องๆ สักหน่อย ก็ถือว่าหนังเดินเรื่องได้กระชับไวดีเหมือนกัน มีจังหวะในการเร่งเร้าสร้างความตื่นเต้นมาเสิร์ฟเป็นพักๆ พร้อมด้วยปมที่ทยอยทิ้งมาเรื่อยๆ ทำให้หนังค่อนข้างน่าติดตาม

และที่ค่อนข้างชอบคือลีลาการฆ่าของฆาตกรในภาคนี้ครับ มันจะไม่พิรี้พิไรอะไรมาก เพราะภาคก่อนๆ นี่ส่วนใหญ่สูตรสำเร็จในการฆ่าคือ ต้องเริ่มจากฉายให้ดูเหยื่อที่จะโดนฆ่าก่อนว่าทำอะไรอยู่ ก่อนที่จะเริ่มสร้างบรรยากาศให้อึมครึมดูไม่น่าไว้ใจ แล้วก็จะมีฉากที่เหยื่อเดินสำรวจนั่นนี่แบบค่อยๆ เดิน แล้วก็จะเดินไปยังจุดที่ฆาตกรน่าจะอยู่ แต่พอไปถึงจุดนั้นแล้วก็พบว่าฆาตกรไม่ได้อยุ่จุดนั้น แล้วจากนั้นก็จะหักมุมเป็นว่าฆาตกรอยู่แถวนั้นแหละ (เช่น มันอยู่ข้างหลัง) แล้วก็โผล่มาเชือด เนี่ยครับ มันจะเป็นสูตรและใช้เวลาในการเล่าฉากทำนองนี้หลายนาทีอยู่พอสมควร
แต่ภาคนี้ฉากการฆ่าไวอยู่ครับ คือฆ่าเป็นฆ่าไม่ตั้งท่าอะไรเยอะ ไม่ต้องทิ้งช่วงยืดเวลาแบบคราวก่อนๆ ทำให้ดีกรีความอลหม่านค่อนข้างเยอะกว่าเพราะเวลามันลงมือทีเหตุมันจะเกิดแบบต่อเนื่องจนตัวละครตั้งตัวกันไม่ทัน บางฉากก็ช็อคความรู้สึกดีคือไม่นึกว่าฆาตกรจะลงมือแบบเนื้อๆ เน้นๆ ขนาดนี้ ไวมาก ไม่กี่นาทีเหยื่อก็ไปซะแล้ว
จริงๆ ฉากฆ่าที่เทคไทม์มันก็ยังมีครับ แต่ก็ถือว่าทำได้น่าลุ้นอยู่ เช่น ฉากในรถไฟใต้ดินที่มีคนเยอะๆ เป็นต้น
โดยรวมแล้วหนังถือว่าโอเคเป็นส่วนใหญ่ครับ ดาราก็เล่นกันได้โอเคทั้งตัวละครที่รอดมาจากคราวก่อนและตัวละครหน้าใหม่ ก็ยอมรับครับว่าลึกๆ แล้วยังคิดถึงเหล่าดาราชุดดั้งเดิมมากกว่า (พวกซิดนี่ย์น่ะครับ) แต่ก็เข้าใจครับว่าเป็นคนละทีมกัน ซ้ำยังเป็นคนละรุ่น คนละ Gen หลายอย่างเลยต่างกันไป
เหตุการณ์เวลาไล่ล่าฆ่ากันก็ชุลมุนพอดู แล้วก็มีปมทิ้งให้เราตามสางไปเรื่อยๆ ถ้าถามว่ามีจุดโหว่จุดแหม่งให้สงสัยไหม ก็ยอมรับว่ามีเหมือนกันครับ แต่ด้วยความที่หนังใช้วิธีเดินเรื่องต่อเนื่องและไว ก็เลยพอจะพรางๆ ตาเราไปได้บ้าง (แต่พอมานั่งนึกภายหลัง มันก็ยังรู้สึกอยู่ดี)
ครับ เท่าที่พูดมานี่จริงๆ ผมน่าจะชอบภาคนี้มากนะ แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ครับว่ามันมีบางประเด็นที่ลดทอนความสนุกของหนังไป และประเด็นที่ว่าคือตอนเฉลยฆาตกรนั่นเอง ซึ่งอันนี้หลายคนอาจถือว่าสปอยล์ ผมก็จะใส่เครื่องหมายคั่นไว้นะครับ ถ้าไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านครับ
===================
====== สปอยล์ครับ ======
===================

ถ้าจะให้นิยามฉากเฉลยฆาตกรของภาคนี้ คำที่ผมว่าเหมาะที่สุดคือคำว่า “ลน” ครับ เป็นการเฉลยที่ดูลนมาก ดูเร่งๆ รีบๆ ยังกับกลัวว่าเราจะจับผิดอะไรได้อย่างนั้นแหละ คือการเฉลยฆาตกรหนนี้มันดูไม่ขลังเท่ากับหลายๆ ภาคที่ผ่านมาครับ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คือ ภาคก่อนๆ นี่เวลาเฉลยฆาตกรนี่มันจะเหมือนกับมีสปอตไลท์ส่องมาที่ตัวฆาตกร มันจะดูเด่น ดูมีอำนาจ ดูมีความขลังบางประการปรากฏขึ้น อารมณ์เหมือนฉากเปิดตัวบอสที่ตัวเอกต้องหาทางโค่น มันจะดูขลังๆ ประมาณนั้นน่ะครับ
แต่ภาคนี้เหมือนสปอตไลท์มันส่ายน่ะครับส่ายไปฉายทางนั้นทีทางนี้ที ดูผู้ร้ายภาคนี้ไม่ค่อยขลัง ไม่ค่อยเก่ง ดูไม่ค่อยมีพาว ซึ่งประเด็นปูมหลังว่าคนพวกนี้มาเป็นฆาตกรทำไมนี่ จริงๆ ก็พอรับได้นะ มันไม่ใช่มุกใหม่อะไร ส่วนใหญ่ฆาตกรใน Scream นี่มันก็มักจะเป็นญาติโกโหติกากับใครสักคนในภาคก่อนๆ อยู่แล้ว แต่การเปิดตัว การเฉลยที่มา มันค่อนข้างแกว่งไปหน่อย
และไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่เหมือนกับการที่หนังเฉลยฆาตกรแบบแกว่งๆ นี่ ส่วนหนึ่งก็เหมือนจะทำให้ดูว่าฆาตกรกลุ่มนี้ไม่ได้เก่งอะไรนัก เหมือนตั้งใจให้ 2 พี่น้องคาร์เพนเตอร์โค่นพวกนี้ง่ายขึ้นอะไรแบบนั้นน่ะครับ คือถ้าเขียนให้ฆาตกรเก่งเกิน ขลังเกิน เดี๋ยวคนเขียนจะต้องเค้นสมองอีกว่าจะทำยังไงให้ 2 พี่น้องสามารถเอาชนะพวกนี้ได้ เพราะถ้าเขียนไม่ดีเดี๋ยวมันจะดูไม่น่าเชื่ออีก ดังนั้นก็เขียนให้ฆาตกรไม่เก่งมากก็แล้วกัน 2 พี่น้องจะได้เอาชนะพวกมันแบบไม่ยากเกินไป จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ
นั่นล่ะครับที่ผมรู้สึกว่าหนังมันดูดร็อปลงนิดๆ ตอนเฉลยฆาตกร คือนาทีก่อนหน้าตอนที่ 2 ฆาตกรเอามีดแทงแชด (Mason Gooding) แบบไม่ยั้ง แล้วก็หันมาทำท่าเช็ดเลือดจากมีดพร้อมกันนี่ อารมณ์มันขลังมากนะครับ คือมันทำให้รู้สึกเลยน่ะว่า 2 พี่น้องเจอศึกหนักแน่งานนี้ พวกเธอจะเอาชนะมันได้ยังไง – ไอ้เราก็ลุ้นไปนะ – แต่พอถึงฉากเฉลยนี่ความขลังมันดูดร็อปลง ดัชนีนิเคอิที่เคยพุ่งนี่กราฟดิ่งลงเฉยเลย
ในแง่หนึ่งหนังอาจพยายามทำให้พวกฆาตกรดูคลั่งน่ะ แต่ภาพที่ออกมามันดูลนๆ มากกว่าน่ะครับ
อดคิดไม่ได้ว่าถ้าฆาตกรดูแกร่ง ดูแกรนด์ ดูขลังกว่านี้ ตอนจบนี่น่าจะเป็นอะไรที่มันส์ทีเดียวครับ
และจุดโหว่บางอย่างแม้จะพยายามมองข้ามแต่ก็อดสงสัยไม่ได้น่ะครับ ประเด็นใหญ่เลยสำหรับผมคือเรื่องของควินน์ (Liana Liberato) ที่ตอนกลางเรื่องเธอจะแกล้งตายก่อนจะเฉลยตอนท้ายว่าเธอคือหนึ่งในฆาตกร แล้วหนังก็พยายามอธิบายว่านักสืบไบลี่ย์ (Dermot Mulroney) พ่อของควินน์ที่เป็นฆาตกรเหมือนกัน ทำการสับเปลี่ยนศพ เอาศพอื่นมาแทนควินน์ แล้วก็ให้ควินน์หลบฉากออกไป แต่ในหัวผมก็คิดน่ะครับว่ามันจะง่ายปานนั้นเลยเหรอ ไอ้การที่ควินน์หลบออกไปน่ะพอเข้าใจครับ แต่การเอาศพอื่นมาวางแทนเนี่ย มันจะไม่มีใครเห็นเลยเหรอ ศพคนทั้งคนนะครับ ไม่ใช่จะยัดใส่เป้สะพายหลังแล้วขนมาวางได้ง่าย
แล้วการยืนยันศพอีก คือมันคงไม่ใช่แค่นักสืบไบลี่ย์บอกว่านี่เป็นลูกฉันแล้วทุกอย่างจะจบหรอก มันต้องมีการตรวจพิสูจน์ ชันสูตร พิมพ์ลายนิ้วมืออะไรตามมาอีก มันจะปกปิดได้ง่ายปานนั้นเชียว? และที่สำคัญคือควินน์เป็นลูกของนักสืบไบลี่ย์น่ะครับ แล้วเพื่อนตำรวจที่ทำงานด้วยจะไม่มีใครจำหน้าเธอได้เลยเหรอ จะแยกไม่ออกเลยเหรอว่าศพนี้คือควินน์หรือไม่ – โดยส่วนตัวจุดนี้จัดว่าโหว่เยอะอยู่ในความคิดผมครับ
============= หมดสปอยล์ครับ =============
ก็ประมาณนั้นครับ โดยรวมแล้วผมว่าหนังก็สนุกดี ตื่นเต้น ฉับไว เร้าใจพอประมาณ ยอมรับว่าช่องโหว่ในเรื่องมันก็มีนะ แต่ถ้าถามว่าหนังสนุกไหม ผมก็ว่าสนุกน่ะครับ นี่ถ้าบทหนังมันรัดกุมกว่านี้ เขียนมาแน่นกริ๊บกว่านี้นี่ผมน่าจะชอบน้องๆ ภาคแรกเลยล่ะ แต่พอหักกลบลบไปมา นึกถึงข้อดีคือความสนุก แล้วก็นึกถึงข้อด้อยคือจุดโหว่บางประการ ผมเลยชอบหนังที่ประมาณพอๆ กับภาค 4 ครับ
สองดาวครึ่งได้ครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Mystery, Slasher Movies, Thriller










