Comedy

Haunted Mansion (2023) บ้านชวนเฮี้ยน ผีชวนฮา

Untitled06489

ถ้าถามว่าระหว่าง The Haunted Mansion ฉบับปี 2003 กับ Haunted Mansion ฉบับใหม่นี่อันไหนเวิร์กกว่ากัน ก็ตอบได้ว่าฉบับใหม่ดูจะเข้าท่ากว่าหน่อยในแง่ของเรื่องราวครับ แต่ถ้าคิดคะแนนแบบสะระตะก็ถือว่าพอๆ กัน คือดูได้ในระดับเรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงกับเข้าเป้าแต่อย่างใด

สำหรับผมแล้วจุดอ่อนของฉบับใหม่คือหนังเดินเรื่องช้าไปครับ ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังนี่ผมต้องใช้ความอดทนในการดูมากเลย รู้สึกเรื่องมันเรื่อยมาก อืดมาก ความฮาก็ไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าไร แล้วฉากในคฤหาสน์ผีสิงก็ยังมืดๆ อีก คือไม่ง่วงก็ไม่ไหวล่ะครับ บรรยากาศมันชวนให้นอนหลับเหลือเกิน สารภาพเลยว่าครึ่งชั่วโมงแรกของหนังนี่ผมหลับเละเทะเลยครับ และกลายเป็นว่าขนาดหลับๆ ตื่นๆ แต่ผมก็ยังดูรู้เรื่องนะ เพราะเรื่องมันไม่ได้ไปไหนเลยน่ะครับ เดินเรื่องช้ามากมายจริงๆ

หนังเริ่มเข้าเรื่องน่าสนใจประมาณนาทีที่ 40 ครับ คือไม่ได้หมายความว่าหนังจะน่าติดตามสุดๆ ในนาทีที่ 40 นะ หมายถึงโอเคขึ้นน่ะครับ ค่อยมีปมให้ตาม มีอะไรให้สนใจมากขึ้นหน่อย แต่หนังก็ยังเรื่อยๆ อยู่ ต้องรอจนช่วงท้ายตอนใกล้เผด็จศึกกับผีนั่นน่ะครับถึงจะมันส์หน่อย แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ได้มันส์แบบสุดๆ อยู่ดี แค่ว่ามันส์ขึ้นกว่าตอนแรกๆ เท่านั้นแหละ

จริงๆ เรื่องราวฉบับนี้มันดูมีอะไรมากกว่าฉบับปี 2003 นะ แต่การที่ฉบับนั้นดูได้เรื่อยๆ เพลินๆ ก็เพราะหนังเดินเรื่องไว ความยาวแค่ชั่วโมงครึ่งน่ะครับ แม้เนื้อหาจะไม่มี แต่อย่างน้อยก็มีดาราที่เวิร์ก มี CG แทรกเป็นพักๆ ให้พอเพลิน ในขณะที่ฉบับนี้หนังมันอืดไป จนคิดเลยว่าถ้าเฉือนออกสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่น่าจะเสียหาย จริงๆ ดีซะอีกเพราะหนังจะได้กระชับขึ้น ความเพลินก็คงมากขึ้น

ดาราในฉบับนี้ถือว่าเลือกมาเหมาะครับ ตอนแรกผมก็มีคำถามเหมือนกันว่า LaKeith Stanfield ที่มารับบทนำน่ะจะเอาอยู่ไหม ซึ่งผมว่าเขาเอาอยู่นะ พวกฉากฮาๆ น่ะเขาอาจไม่ได้มีบทบาทมากนัก ก็ปล่อยให้ดาราสมทบอย่าง Owen Wilson, Tiffany Haddish และ Danny DeVito ชงมุกตบมุกกันไป ส่วน Stanfield นี่ถือว่ารอฉายแสงตอนแสดงฉากดราม่าๆ ครับ อย่างฉากที่เขาเล่าเรื่องภรรยานี่ถือว่าได้อารมณ์มากๆ ฟังแล้วใจเรายังรู้สึกสะเทือนเลยน่ะครับ ดังนั้นในแง่ดาราแล้ว จริงๆ หนังเลือกมาดี เลือกมาถูก แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ฉายแสงแบบเต็มๆ ซึ่งถ้าถามว่าเพราะอะไร ผมก็โยนความรับผิดชอบไปให้กับความยืดอืดยาวของหนังนี่แหละ

อารมณ์เหมือนเวลาเราต้มมาม่าน่ะครับ ถ้าเราใส่น้ำเยอะเกินไป พวกเครื่องปรุงที่ใส่มันก็จะเจือจาง ความเข้มข้นก็จะลดลง แทนที่จะจัดจ้านก็กลายเป็นจืดชืด ก็แบบเดียวกับในเรื่องนี้เลยครับ ที่มีดาราดีๆ มารวมตัวกัน แต่พลังของพวกเขาก็มาถูกเจือจางลงโดยการเล่าเรื่องที่ยาวเกินจำเป็น

Untitled06490

Rosario Dawson กับ Chase Dillon ที่มารับบทแม่ลูกก็เหมือนกันครับ เล่นได้โอเค แต่พอเรื่องมันยืดความเด่นก็เลยจืดจางไป อีกคนที่ถือว่าขโมยซีนได้เรื่อยๆ คือ Jamie Lee Curtis ครับ บทไม่เยอะ แต่มาทีไรก็แย่งซีนได้

เนื้อเรื่องฉบับนี้ผมว่ามันดูมีอะไรมากกว่าฉบับปี 2003 น่ะครับ แต่กลายเป็นว่าฉบับปี 2003 มันเล่าแบบพอดีคำ อาจเพราะรู้ตัวว่าบทไม่ได้หนักแน่นอะไร ก็เลยเล่าแบบเนื้อๆ แล้วก็พยายามจะฮากับเล่นกับ CG มันเลยโอเค แต่ฉบับนี้ที่มีเรื่องราวเป็นชิ้นเป็นอันกว่า กลับอ่อนลงเพราะความยืดยาวเกินจำเป็น แต่ฉากไหนที่หนังเล่าแบบเนื้อๆ เนี่ย ความน่าสนใจกราฟมันจะพุ่งเลยครับ อย่างตอนที่บรูซ (Danny DeVito) เล่าประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั้งของบ้านและของตัวละครสำคัญในเรื่องเนี่ย ความน่าสนใจมันมาเลยครับ โดยส่วนตัวผมว่าฉากพวกนี้ดูขลังด้วย เพราะมันข้นไงครับ รสชาติมันเลยเข้ม ดูแล้วน่าจดจำ – ถ้าหนังเป็นแบบนี้ทั้งเรื่องก็คงดี

ตัวบทนั้นเขียนโดย Katie Dippold ที่เคยผ่านงานอย่างซีรี่ส์ชั้นดีอย่าง Parks and Recreation แล้วก็หนังใหญ่อย่าง The Heat และ Ghostbusters (2016) จนผมไม่แปลกใจเลยที่บทมันจะโอเค เพราะผลงานเรื่องก่อนๆ ถือว่าน่าจดจำและบทเข้าท่า แต่มันก็ต้องอยู่ในมือของผู้กำกับที่เอาอยู่ด้วยน่ะครับ ไม่งั้นแม้บทจะเข้าท่า มันก็จะออกมาแบบแกนๆ อย่างเรื่องนี้ก็อยู่ในข่ายนั้นครับ ผู้กำกับ Justin Simien ยังเอาไม่ค่อยอยู่เท่าไร หนังเลยไปไม่ถึงฝั่ง

หนังก็ทำให้ Disney เจ็บตัวไปไม่น้อยครับ เพราะลงทุน $150 ล้าน แต่ได้คืนมาจากทั่วโลกแค่ $116 ล้าน ตัวแดงชัดเจนครับ และอีกอย่างที่รู้สึกคืองาน CG ถือว่าไม่เด่นเท่าไรครับ

สรุปว่าดาราเข้าท่า บทน่าสนใจ แต่ผลที่ออกมายังไม่ลงตัว อืดช้ายืดเกินไป – แอบเสียดายเหมือนกันครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)