Horror

Case 39 (2009) เคส 39 คดีสยองขวัญหลอนจากนรก

Untitled06269

เอมิลี่ เจนกินส์ (Renee Zellweger) นักสังคมสงเคราะห์สาวที่ขยันทำงานช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหา อยู่มาวันหนึ่งเธอได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลครอบครัวซัลลิแวนที่ดูเหมือนว่าคนเป็นพ่อและแม่ของครอบครัวนี้ จะดูแลลูกสาวที่ชื่อลิลิธ (Jodelle Ferland) ได้ไม่ดีสักเท่าไร แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งเธอก็ตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยลิลี่ให้พ้นจากมือพ่อแม่ แต่เธอไม่รู้เลยครับว่านั่นแหละคือจุดเริ่มของความสยองที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเธอและคนรอบตัว

ดูจากหน้าหนังแล้ว Case 39 มาในแนวคล้าย The Omen ครับ ว่าด้วยเด็กที่ภายนอกก็ปกติดี แต่ภายในแฝงความน่ากลัวไว้ เพียงแต่โทนส่วนใหญ่ของเรื่องจะดูเป็นหนังระทึกขวัญมากกว่าจะเป็นหนังสยอง โดยเฉพาะดนตรีของ Michl Britsch นี่ให้อารมณ์กระตุกขวัญมากกว่าจะเป็นโทนหลอนประสาท รวมถึงลีลาการเล่าเรื่อง การถ่ายภาพก็มาในแนวระทึกครับ ดังนั้นใครมุ่งหมายจะดูหนังสยองขวัญก็อาจต้องปรับใจก่อนดู เพราะมันไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาสยอง ไม่ได้เน้นตุ้งแช่หรือเน้นแหวะอะไรครับ

เนื้อเรื่องจริงๆ มันคือแนวสยองนั่นแหละ มีฉากการตายของตัวละครที่ดันมาเกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้ แต่ความน่ากลัวถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ครับ คือไม่ได้สยดสยองหรือชวนขนพองเสียวไส้เท่า The Omen หรือ Final Destination

ว่าตามจริงคือหนังอยู่ในระดับกลางๆ แบบดูได้เรื่อยๆ ครับ ไม่ได้เด็ดดวงเป็นพิเศษอะไร พลังสำคัญที่ทำให้หนังน่าตามดูไปเรื่อยๆ ก็คือเหล่าดาราที่มาแสดงน่ะครับ ไม่ว่าจะ Zellweger, Ian McShane ในบทนักสืบบาร์รอน เพื่อนตำรวจของเอมิลี่, Bradley Cooper ในบทดั๊ก คนรักของเอมิลี่, Adrian Lester เป็น เวย์น หัวหน้าของเอมิลี่, Callum Keith Rennie และ Kerry O’Malley มาเป็นพ่อแม่ของลิลิธที่แสดงอาการประสาทเสียได้ไม่เลว แต่ละคนที่กล่าวไปนี่ถือเป็นส่วนสำคัญครับที่ทำให้หนังดูมีอะไร

ส่วน Ferland นี่หายห่วงครับ เธอเล่นได้ดีเสมอในบทเด็กน้อยที่ซ่อนความน่ากลัวเอาไว้ ตอนน่ารักก็ดูน่ารักดีครับ แต่พอน่ากลัวขึ้นมานี่แม้แต่ยิ้มหวานๆ ก็ยังทำให้เราขนลุกได้ ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะครับ

หนังกำกับโดย Christian Alvart ผู้กำกับ Pandorum โดยหนังเรื่องนี้ออกฉายปีเดียวกับ Pandorum ครับ แต่จริงๆ หนังสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2007 แล้ว แต่มาโดนเลื่อนแล้วเลื่อเล่ากว่าจะได้ฉาย โดยรวมหนังถือว่าใช้ได้ครับ อย่างที่บอกว่าดาราคือพลังสำคัญในขณะที่ตัวหนังอาจยังไม่หลอนแบบเต็มที่ บรรยากาศความเหนือธรรมชาติอาจไม่มาก อันนี้ถ้าจะมองว่าผู้กำกับพยายามทำในแนวทางใหม่ ให้หนังสยองเรื่องนี้เน้นระทึกมากกว่าจะเน้นหลอนสยองแบบเหนือธรรมชาติก็อาจจะพอได้ แต่ถ้าจะมองว่าเขายังทำได้ไม่สุดอันนี้ก็มองได้เหมือนกัน ขึ้นกับว่าเราจะมองมุมไหนน่ะนะครับ

ส่วนผม แม้หนังจะไม่ได้ดูหลอนเหนือธรรมชาติมากนักก็ตาม แต่ก็หนังก็ยังพอน่าติดตามครับ ดูไปก็อยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปจบตรงไหน และใครจะอยู่ใครจะตายบ้าง

Untitled06270

กลายเป็นว่าสิ่งที่ผมจดจำได้สำหรับหนังเรื่องนี้คือประเด็น “คนที่ไม่ได้เป็นพ่อเป็นแม่น่ะ จะไม่เข้าใจหรอก” อย่างตัวเอมิลี่นั้นแม้เธอจะทำงานในวงการนี้และรับรู้เรื่องของครอบครัวมามากมายหลายเคสจนน่าจะชำนาญ แต่กลายเป็นว่าพอเธอต้องรับบทประหนึ่งแม่มาดูแลลิลิธ เธอถึงตระหนักว่าบางสิ่งเธอก็เพิ่งมาเข้าใจตอนเลี้ยงเด็กคนนี้นี่เอง

หรือฉากที่เอมืลี่ไปขอให้เจ้าหน้าที่อีกคนช่วยรีบๆ หาครอบครัวใหม่ให้ลิลิธที เจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับในเชิงที่ว่าตอนนี้ยังหาครอบครัวให้ไม่ได้ ดังนั้นเอมิลี่ต้องเลี้ยงลิลิธไปก่อน พร้อมทั้งแซะเอมิลี่ว่า “เธอก็ทำหน้าที่แบบที่เธอชอบบอกกับพ่อแม่คนอื่นๆ สิ อย่าดีแต่พูด” ประมาณว่าเอมิลี่ตอนบอกกับพ่อแม่คนอื่นให้เลี้ยงลูกดีๆ ก็บอกได้ แต่พอทำเองกลับทำไม่ได้อะไรประมาณนั้น – แต่ก็ต้องเข้าใจน่ะนะครับว่าบริบทมันต่างกันนิด เพราะลิลิธเธอไม่ธรรมดา

แต่หนังก็ทำให้ผมย้อนคิดไปสมัยที่ยังไม่เป็นพ่อคนน่ะครับ ตอนนั้นเราพูดได้ไม่ยากว่าพ่อแม่ควรทำอะไรบ้าง ไม่ควรทำอะไรบ้าง เราได้ยินหลักการหรือกระทั่งรู้ทฤษฎีและคิดว่าเราเข้าใจคนเป็นพ่อแม่แหละ แต่เอาเข้าจริงพอได้เป็นพ่อคนก็ตระหนักครับว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่คนที่ยังไม่มีลูกยากจะรู้และเข้าใจ หรืออาจจะรู้แต่นึกภาพไม่ออกทั้งหมด – การดูแลเด็กสักคนแค่ระยะหนึ่งกับต้องดูแลทั้งวันทั้งคืนต่อกันหลายปี มันมีส่วนที่ต่างกันน่ะครับ

อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ก็มีจุดที่เราพบกันครึ่งทางได้นะครับ นั่นคือคนที่ยังไม่เป็นพ่อแม่คนก็สามารถแนะนำสิ่งควรทำ-ไม่ควรทำ (ตามที่ตนรู้มา) เอามาบอกให้คนเป็นพ่อแม่รับรู้ได้ แล้วก็อย่าด่วนตัดสินหากพ่อแม่ไม่สามารถทำตามนั้นได้ทั้งหมด หรือบ่นโอดครวญว่ามันยาก จุดนี้เราก็อาจต้องเห็นใจพ่อแม่หรือไม่ก็สอบถามพวกเขาเผื่อถ้าเขามีทางตัน เราจะได้ช่วยหาทางออกให้

ส่วนคนเป็นพ่อแม่ก็อย่าเพิ่งมองว่าอีกฝ่ายไม่เคยมีลูกแล้วจะไปรู้อะไร ใช่ครับ เขาอาจไม่รู้ในบางสิ่ง แต่ด้วยความไม่รู้นี่เองที่บางทีก็ทำให้เขาสามารถคิดได้แบบไร้กรอบ และบางครั้งการคิดแบบไร้กรอบนี่แหละที่อาจนำมาซึ่งทางออกที่คนเป็นพ่อเป็นแม่มองไม่เห็น ดูไม่ออก หรือคิดไม่ถึงก็เป็นได้ (ที่เขาว่าเส้นผมบังภูเขาก็ประมาณนี้แหละครับ)

ยอมรับว่าช่วงท้ายนี่อารมณ์ที่ผมมีต่อเอมิลี่ก็มีความก้ำกึ่งอยู่เหมือนกันนะครับ มุมหนึ่งก็สงสารและเห็นใจเธอที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่อีกมุมหนึ่งก็ประมาณว่า “เจอเข้ากับตัวแล้วสินะจ๊ะ” – อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ แต่ผมรู้สึกราวกับว่าหนังแอบยั่วเย้าให้เรารู้สึกในมุมแบบหลังยังไงก็ไม่รู้

สรุปว่าหนังอาจไม่ได้สุดยอดอะไรนะครับ ไม่ได้น่ากลัวจัดๆ ไม่ได้น่าติดตามจนถึงขั้นลืมหายใจ แต่ก็ถือว่าดูได้สำหรับหนังลึกลับระทึกขวัญแบบนี้ แต่ก็แอบรู้สึกว่าหนังยาวไปนิดเหมือนกันครับ

สองดาวได้ครับ

Star21

(6/10)