Horror

Smile (2022) ยิ้มสยอง

Untitled06216

Smile นี่ก็เป็นอีกเรื่องครับที่ตอนแรกทำขึ้นสำหรับลงฉายทางสตรีมมิ่งของ Paramount+ แต่ปรากฏว่าตอนฉายรอบทดลองได้รับการตอบรับดีมาก เลยมีการโยกหนังมาฉายจอใหญ่ แล้วผลลัพธ์ก็สวยงามมากมายครับ หนังโกยในอเมริกาไป $105 ล่้าน ถ้ารวมทั่วโลกก็ $217 ล้าน (จากทุนสร้างประมาณ $17 ล้านครับ)

เรื่องเริ่มเมื่อจิตแพทย์สาวโรส คอตเตอร์ (Sosie Bacon) ทำหน้าที่ดูแลคนไข้นามว่าลอร่า (Caitlin Stasey) ที่กำลังคลั่งเอาแต่พร่ำบอกว่ามีบางสิ่งกำลังตามติดเธออยู่ และไม่นานเธอจะต้องตาย ซึ่งนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของคำสาปยิ้มสยองที่โรสต้องเผชิญ

จะว่าไปแล้วหนังก็มาในสูตรของ The Ring ครับ ตัวเอกต้องมาเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติ เจอคำสาปที่จะคร่าชีวิตเธอภายในเวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ส่งผลให้ตัวเอกต้องหาข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อพาตัวเองให้พ้นจากเรื่องนรกแตกครั้งนี้ และระหว่างทางเธอก็จะต้องเจอกับความสยองหลากรูปแบบ ก่อนที่เรื่องราวจะดำเนินไปสู่ไคลแม็กซ์

บอกก่อนเลยครับว่าหนังเรื่องนี้ตุ้งแช่มากๆ เน้น Jump Scare เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันหนังก็สร้างบรรยากาศความหลอนได้ไม่เลวครับ ถือเป็นหนังสยองที่เข้าท่าพอตัว ใช้ได้ทั้งฉากชวนสะดุ้งตุ้งแช่และฉากเงียบๆ หลอนๆ

แต่โดยส่วนตัวผมอยากนิยามหนังเรื่องนี้ว่า Shout Scare ครับ เพราะตุ้งแช่แต่ละทีมันจะมาพร้อมเสียงดังๆ ปังๆ ลั่นๆ อันส่งผลให้ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ผมจะมีความทุกข์อย่างหนึ่ง นั่นคือต้องกุมรีโมทไว้กับมือตลอดครับ เพราะหนังเดี่ยวเสียงค่อยเดี๋ยวเสียงดัง ยิ่งจังหวะที่เสียงมันเริ่มเบานี่ให้ตระหนักไว้เลยครับว่าเดี๋ยวมันต้องแฮ่ แล้วแฮ่ไม่แฮ่เปล่า พี่ท่านล่อซะเสียงดังเลย โดยเฉพาะฉากตัวละครกรี๊ดนี่เล่นเอากดหรี่เสียงแทบไม่ทัน เพราะกลัวข้างบ้านจะตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เรียกว่าระดับเสียงของฉากตุ้งแช่นี่เล่นใหญ่ไฟสปอตไลท์อยู่เหมือนกัน

ครึ่งแรกนี่ต้องกุมรีโมทไว้ตลอด แต่พอดูไปเรื่อยๆ แล้วพบว่าหนังใช้มุกนี้เกือบตลอด สุดท้ายเลยต้องมากดเบาเสียงแล้วอ่านซับเอา บางซีนนี่ตัวละครพูดอะไรนี่ไม่ได้ยินเลยครับ ต้องอ่านซับอย่างเดียว แต่ก็จำต้องทำครับ เพราะไม่อยากรบกวนข้างบ้าน (แต่กลายเป็นว่าระหว่างนั้นคุณป้าที่อยู่บ้านถัดไปอีก 2 หลังคุยกันดังลั่นจนลอดเข้ามาในบ้านแทน 555)

Untitled06217

ครับ หนังค่อนข้างลงสูตร แต่ก็ถือว่าปรุงออกมาได้ไม่เลว เรื่องความสยองและความน่าติดตามถือว่าโอเค และหนังยังมาพร้อมกับการแสดงเวิร์กๆ ด้วยครับ อย่างตัวนำของเรื่อง Sosie Bacon นี่ถือว่าเล่นได้ถึงอยู่ครับ เวลาเธอแสดงท่ากลัว ท่าเครียดนี่ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ เพราะเธอดูโทรมจริงเครียดจริง ตัวหนังมีความน่าติดตามส่วนหนึ่งก็เพราะเธอนี่แหละครับ – เธอเป็นลูกสาวของ Kevin Bacon กับ Kyra Sedgwick ครับ ถือว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนะ

นักแสดงรายอื่นๆ ก็เสริมความเข้าท่าให้หนังได้พอตัวครับ ไม่ว่าจะ Jessie T. Usher ในบทเทรเวอร์ แฟนหนุ่มของโรส, Kal Penn ในบท ดร.มอร์แกน หัวหน้าของโรส แต่รายที่ผมออกจะชอบมากหน่อยก็คือ Stasey ที่มารับบทเป็นลอร่า คนไข้ตอนต้นเรื่อง ผมว่าเธอเล่นใหญ่เอาเรื่องครับ สามารถบิ้วความเครียดให้คนดูได้อย่างเจ๋ง และอีกคนที่ชอบก็คือ Kyle Gallner ในบทโจเอล ตำรวจที่เข้ามาสืบคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับโรสมาก่อน รายนี้ก็แสดงได้ดีเช่นกัน – อีกอย่างคือหน้าเขาทำให้นึกถึง John Hawkes นักแสดงฝีมือดีอีกคนด้วยครับ

และตามปกติหนังสยองมักจะละเลยเรื่องปูมหลังของตัวละคร แต่กับเรื่องนี้นี่ไม่ละเลยครับ หนังสามารถแทรกปมชีวิตของโรสลงไปในหนังได้อย่างพอเหมาะ ทำให้เรารู้จักเธอมากขึ้น รู้ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง ในแง่หนึ่งก็ทำให้เรารู้สึกเห็นใจเธออยู่เหมือนกันครับ เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ในทางกลับกันเธอพยายามช่วยคนด้วยซ้ำ แต่แล้วเธอกลับต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้

ในแง่หนึ่งก็เหมือนหนังสะท้อนความจริงของชีวิตน่ะครับ ว่ามันไม่เหมือนในนิทานนะที่คนดีจะได้รับผลดีเสมอไป บางครั้งคนดีก็ต้องทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน ในขณะที่คนที่ชอบเอาตัวรอดคิดถึงแต่ตัวเอง แม้จะดูแล้งน้ำใจและเห็นแก่ตัว แต่เขาก็อาจได้รับความทุกข์น้อยกว่า (เพราะเขาเอาตัวรอดเก่งกว่า) – ก็อย่างนี้แหละครับ ชีวิตไม่จำเป็นต้องยุติธรรม

ผมชอบมุมกล้องของหนังนะ โดยเฉพาะลีลาถ่ายภาพแบบถ่ายจากด้านบน ที่ถ่ายในแนวปกติไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะค่อยๆ พลิกตีลังกากลับหัว ก็ช่วยสร้างอารมณ์บิดเบี้ยวให้หนังได้ไม่เลว ซึ่งคนกำกับภาพก็คือ Charlie Sarroff รายนี้โตมากับสายหนังสั้นครับ ก็ถือว่าน่าจับตาอยู่เหมือนกัน

หนังกำกับและเขียนบทโดย Parker Finn ที่ก่อนหน้านี้เขาทำหนังสั้นมาก่อนครับ ได้แก่เรื่อง The Hidebehind และ Laura Hasn’t Slept ซึ่งเรื่องหลังนี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่อง Smile ในเวลาต่อมา ซึ่งในฐานะทำหนังใหญ่เป็นหนแรกก็ถือว่าเขาทำหน้าที่ได้ดีทีเดียวครับ หนังอาจไม่ได้สมบูรณ์ลงตัวไปเสียทั้งหมด แต่ก็ถือว่าอยู่ในข่ายดี คุ้มค่าแก่การรับชม ดูแล้วชวนให้ติดตาม

สองดาวครึ่งได้ครับ

Star22

(7/10)

==================
==================
ถัดจากนี้ขอสปอยล์หน่อยนะครับ
==================
==================

ดูหนังเรื่องนี้แล้วมันอดไม่ได้ที่จะคิดครับ หนังจะสื่อกับเราแบบนั้นไหมก็ไม่ทราบ แต่มันทำให้ผมถึงประเด็นว่าคนดีไม่จำเป็นต้องได้ดี แล้วมิหนำซ้ำยังอาจตกเป็นเหยื่อของคนไม่ดี (หรือปีศาจ) ให้พวกมันมาเสพประโยชน์ได้ง่ายกว่าอีกด้วย

อย่างเจ้าปีศาจยิ้มสยองนี่มันจะชอบเสพความทุกข์จากเหยื่อ ซึ่งแน่นอนล่ะครับว่าตอนที่เจ้าปีศาจมาก่อกวนชีวิตของเหยื่อ เหยื่อก็ต้องทุกข์อยู่แล้ว อันนี้เข้าใจได้ว่ามันจะเสพความทุกข์จากพวกเขา แต่ใจมันก็คิดเพิ่มเติมไปว่า หรือว่ามันจะเลือกเหยื่อที่มีความทุกข์เป็นทุน ซึ่งคนดีๆ ที่เห็นใจคนอื่น ที่พยายามทำดีต่างๆ อาจเป็นคนประเภทที่มีความกดดันและความทุกข์เป็นทุน สามารถก่อเกิดทุกข์ในตนได้ง่ายกว่า เพราะจะมีทั้งความทุกข์ของตนเอง และความทุกข์ที่เกิดจากการเป็นห่วงเป็นใยใส่ใจผู้อื่น

ในขณะที่คนเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ใส่ใจคนอื่น อาจมีปริมาณความทุกข์น้อยกว่า เพราะไม่คิดถึงคนอื่น ไม่แคร์ใคร ก็จะไม่เอาเรื่องชาวบ้านมาใส่หัว แค่นี้ความทุกข์ก็จะหายไปส่วนหนึ่งแล้ว – ทุกข์ที่มีก็จะเป็นแค่ของตนเอง ซึ่งว่าตามจริงก็อาจมีน้อย เพราะคนแบบนี้มักจะทำทุกทางเพื่อให้ตนเองอยู่รอด เพื่อให้ตนเองสบายใจ จะไม่แบกความทุกข์ไว้นาน พร้อมจะทำให้ตนเองแฮ้ปปี้ได้เสมอ โดยไม่สนว่าจะมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของใครหรือเปล่า – คนแบบนี้ในหนังดูจะอยู่รอดปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้

ว่าง่ายๆ คือยิ่งเป็นคนดีมีน้ำใจใส่ใจคนอื่น ก็ยิ่งตกเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้าปีศาจนี้ได้ง่าย และจากที่หนังบอกไว้ว่าหนทางที่จะทำให้เหยื่อหลุดพ้นจากวงจรคำสาป คือต้องฆ่าคนอื่น ต่อหน้าคนอีกคน แล้วตนเองก็จะหลุดพ้น ส่วนคำสาปก็ส่งต่อไปให้คนที่มาเห็นเป็นพยานแทน – อดคิดไม่ได้ว่าการหลุดรอดจากคำสาป คือการที่คนผู้นั้นแปดเปื้อน (จากการฆ่าคน) – กล่าวคือเมื่อคนดีสูญสิ้นความเป็นคนดี ปีศาจก็จะปล่อยให้เหยื่ออยู่ต่อ แล้วมันก็จะไปเล่นงานคนอื่นแทน – สำหรับปีศาจแล้ว มันคงเป็นเรื่องสนุก

คิดลึกต่อไปอีกนิดก็รู้สึกครับว่าปีศาจตนนี้ก็เหมือนซาตาน ที่มาเพื่อเล่นงานคนปกติ คนดีๆ ทั่วไป เล่นงานจนเหยื่อเป็นบ้า และทางเดียวที่เหยื่อจะรอดคือต้องฆ่าคนอื่น – แต่หากใครเป็นคนดีที่ไม่ทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ตนรอด คนๆ นั้นก็จะโดนมันสิงเข้าไปในร่าง และโดนบังคับให้ฆ่าตัวเองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ประมาณว่าถ้าขุนให้ชั่วไม่สำเร็จ คนแบบนี้ปีศาจก็ไม่ปล่อยไว้ ขอกำจัดให้พ้นไปจากโลก – ฆ่าตัวให้ตาย ด้วยใบหน้าแห่งรอยยิ้ม ใบหน้าที่สื่อถึงความสุข

ผมอาจคิดเยอะ แต่ไหนๆ ก็คิดแล้ว เลยขอเอามาแชร์ครับ