Comedy

Ticket to Paradise (2022) ตั๋วรักสู่พาราไดซ์

Untitled06207

ดูจากหน้าหนังแล้วก็สัมผัสได้ครับว่า Ticket to Paradise จะออกมาเป็นหนังเบาๆ เป็นโรแมนติกคอเมดี้ที่ดูเพลินๆ แบบไม่ต้องคิดเยอะ แล้วความรู้สึกหลังดูเสร็จก็ตามนั้นครับ ดูจบหนึ่งรอบก็ได้ไปหนึ่งเพลิน

เรื่องของเดวิด (George Clooney) กับจอร์เจีย (Julia Roberts) อดีตสามีภรรยาที่พบว่าลิลี่ (Kaitlyn Dever) ลูกสาวคนเดียวของพวกเขากำลังจะแต่งงานกับเกอเด้ (Maxime Bouttier) หนุ่มที่ลิลี่เจอระหว่างไปทริปที่บาหลี ซึ่งก็แน่นอนว่าพอทราบข่าวแล้วทั้งเดวิดและจอร์เจียก็นอยด์ทันทีครับ เพราะวัยรุ่นคู่รักคู่นี้เพิ่งรู้จักกันได้แค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น แต่นี่จะแต่งงานกันแล้ว พวกเขาเลยกะว่าจะทำทีไปร่วมงาน แล้วก็จะหาทางล่มงานแต่ง อันนำมาสู่เรื่องวุ่นๆ จุ้นละมุนครับ

สิ่งแรกที่กระแทกเข้าเบ้าตาคือบรรยากาศชายหาดสวยๆ ที่หนังนำมาเสิร์ฟเราตลอดทั้งเรื่องครับ ซึ่งตามท้องเรื่องนั้นเหตุไปเกิดที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย แต่สถานที่ถ่ายทำจริงคือที่ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียครับ ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่โลเคชั่นจริง แต่ในแง่ความสวยสบายตาแล้วถือว่าหนังเลือกโลเคชั่นได้เหมาะอยู่ครับ ดูแล้วสมเป็นหาดสวรรค์บรรยากาศดีๆ ที่เหมาะแก่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ

แล้วตัวหนังเป็นอย่างไร? ว่าไปตามใจคิดก็คือ หนังเหมาะแก่การดูแบบไม่ต้องคิดมากครับ พลังสำคัญที่ทำให้หนังน่าดูไปเรื่อยๆ ก็คือการแสดงระดับมืออาชีพของ Clooney และ Roberts ครับ ดูแล้วเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาคืออดีตคู่รักที่ตอนนี้กลายเป็นคู่กัดที่หาเรื่องจิกกันได้ตลอดเวลา หนังดูเพลินและเบาสมองก็เพราะพวกเขานี่แหละ ในขณะที่เนื้อเรื่องหรือเหตุผลบางอย่างนี่ขอให้ละไว้ครับ เพราะดูก็รู้ว่าหนังทำออกมาเพื่อตอบโจทย์สายบันเทิงอย่างแท้จริงตามสไตล์หนังรักยุค 90 นั่นแหละ

แต่ถ้าถามว่าเสียดายไหม? ก็ตอบได้เลยครับว่าแอบเสียดายเหมือนกัน เพราะจริงๆ หนังสามารถใส่ประเด็นดีๆ ลงไปได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเดวิดและจอร์เจียที่ครั้งหนึ่งเคยรักกัน แต่แล้วด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้พวกเขาไปกันไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องงานที่ทำให้พวกเขามีระยะห่างระหว่างกัน, เรื่องปัญหาชีวิตที่ถาโถมเข้ามาเป็นพักๆ, เรื่องทัศนคติและมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งอะไรเหล่านี้คือต้นเค้าต้นขั้วที่ทำให้ทั้งคู่ต้องลงเอยด้วยการหย่าร้าง และพลอยทำให้พวกเขากลัวว่าชีวิตคู่ของลูกสาวจะไปไม่รอดแบบที่พวกเขาเคยเจอมาแล้ว – อะไรเหล่านี้ดูแล้วพอเข้าใจได้ครับ เพียงแต่ประเด็นทั้งหลายถูกนำเสนอแบบเรื่อยๆ ไม่ได้เน้น ไม่ได้ลงลึกอะไร หนังเลยขาดความลึกซึ้ง ทั้งๆ ที่ถ้าจะทำให้ถึงก็น่าจะได้

ผมชอบฉากที่เดวิดคุยกับเรน (Billie Lourd) เพื่อนซี้ของลิลี่ที่บาร์ ฉากนี้เดวิดจะเล่าให้เรนฟังถึงชีวิตการเป็นพ่อแม่ คุยเรื่องอดีตระหว่างเดวิดและจอร์เจีย ทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมดของเรื่องราว ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่มีครอบครัวแล้ว เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแล้วจะสามารถเข้าถึงฉากนี้ได้ไม่ยากเลยครับ ยิ่งคนที่มีลูกนี่ผมว่าหลายๆ ประโยคจะทำให้ท่านพยักหน้าหงึ่กๆ ได้เลยล่ะ – ฉากนี้ Clooney เล่นดีมาก เป็นธรรมชาติสุดๆ บวกด้วยดนตรีเหมาะๆ ของ Lorne Balfe สอดรับกับอารมณ์ของฉากนี้ได้อย่างดียิ่ง จนผมยกให้เป็นฉากที่ดีที่สุดของหนังเลยล่ะ แต่น่าเสียดายครับที่ฉากทำนองนี้มีน้อยไป ส่วนใหญ่หนังพยายามจะนำเสนอมุมฮา มุมป่วน มุมเป๋อของตัวละครมากกว่า

Untitled06208

อีกอย่างที่รู้สึกคือบทของเรนนั้นดูจะน้อยๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับ พอๆ กับ Lucas Bravo ที่หลายคนน่าจะจำได้จากบทเชฟหนุ่มหล่อเกเบรียลจากซีรี่ส์ Emily in Paris มาเรื่องนี้รับบทพอล แฟนคนปัจจุบันของจอร์เจีย รายนี้ก็เหมือนมาเป็นส่วนเสริมของเรื่องเหมือนกัน

และโดยโครงสร้างแล้ว หนังพยายามนำเสนอให้เราเห็นความผิดพลาดหรือข้อจำกัดชีวิตในยุคก่อนของคนรุ่นเก่า (อย่างเดวิดและจอร์เจีย) ที่ชีวิตคู่ต้องมาล่มก็เกิดจากทั้งน้ำมือตนเองและจากสภาวะแวดล้อมรอบตัว และขณะเดียวกันก็จะนำเสนอให้เห็นวิถีของคนรุ่นใหม่อย่างเกอเด้และลิลี่ที่แม้จะยังเยาว์ในเชิงของอายุ แต่พวกเขาเองก็มีความคิด และบางครั้งก็มีวุฒิภาวะมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ซึ่งโครงสร้างนี้เราก็พอจะเห็นอยู่ครับ แต่ก็อย่างที่บอกน่ะว่าหนังเทน้ำหนักไปฉายภาพความตลกโปกฮาเสียมาก ในขณะที่ประเด็นดีๆ ในโครงสร้างดีๆ เหล่านี้ถูกพูดถึงหรือถูกใส่ลงมาเพียงผิวเผินเท่านั้น

ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าจะบอกว่าผู้กำกับมือไม่ถึงโดยส่วนตัวผมว่าไม่น่าใช่ เพราะ Ol Parker ที่รับหน้าที่เขียนบทและกำกับเรื่องนี้นั้น มีผลงานชิ้นก่อนหน้าที่เข้าท่าๆ อย่าง Now Is Good (ที่เล่าถึงประเด็นความรักของวัยรุ่น) และ Mamma Mia! Here We Go Again (ที่แม้หนังจะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็สามารถบอกเล่าชีวิตรักของดอนน่าในวัยสาวได้ค่อนข้างดี รวมถึงบอกเล่าถึงความรักอันสวยงามระหว่างแม่ลูกได้อย่างซึ้งในฉากเดียว) ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าฉากดีๆ ถูกเอาออกไปหรือเปล่า แล้วก็ไปเน้นเรื่องฮาแทน – อันนี้ก็ได้แต่เดาครับ

แต่ก็ไม่เป็นไรครับ หนังเขาทำออกมาแล้ว ก็ขอยอมรับตามที่มันเป็นก็แล้วกัน โดยสรุปก็คือหนังดูได้เรื่อยๆ ครับ ทิวทัศน์สวยดี ดารานำก็เล่นกันได้ลื่นไหล การต่อปากต่อคำระหว่างพวกเขานี่ก็ฮาดีครับ หลายมุกหลายฉากนี่ก็รู้เลยว่าทำมาเพื่อชวนรำลึกถึงหนังยุค 90

อาจไม่ใช่หนังรอมคอมที่เจ๋งแจ๋วอะไรมากมาย แต่ก็ดีใจครับที่ยังได้เห็นหนังแบบนี้เข้าโรงในยุคนี้ ในแง่ของรายได้ก็ไม่เลวครับ ทั่วโลกทำไป $168 ล้าน จากทุนประมาณ $60 ล้าน ก็ถือว่าใช้ได้อยู่ครับ – ถ้าหนังครบเครื่องครบรสกว่านี้ไม่แน่ว่าอาจทำเงินมากกว่านี้ก็ได้

สองดาวสบายๆ ครับ

Star21

(6/10)