Horror

Evil Dead Rise (2023) ผีอมตะผงาด

Untitled06192

ระยะหลังนี่ผมดูหนังสยองขวัญน้อยลงครับ ไม่ใช่เพราะไม่อยากดูนะ แต่เพราะพอมีครอบครัวแล้ว พื้นที่บนจอทีวีก็ถือเป็นส่วนกลางที่คนทั้งบ้านดูหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องผ่านไปผ่านมา ดังนั้นการจะเปิดหนังอะไรบนจอเราก็ต้องคิดอยู่เสมอว่าภรรยาหรือลูกจะสะดุ้งสะเทือนไหม เลยทำให้อัตราส่วนการดูหนังสยองน้อยลงตามลำดับ

ถ้าถามว่าทำไมไม่ดูในมือถือหรือในคอมก็ตอบได้เลยครับว่าผมนั้นเป็นคนโรคจิตชนิดหนึ่ง เวลาจะดูอะไรทีก็ต้องดูจอใหญ่ ดูจอเล็กแล้วมันเหมือนอรรถรสบางประการหายไป ยิ่งหนังผีนี่มันต้องเต็มตาครับ อารมณ์จะได้มา ดังนั้นโอกาสเดียวที่ผมจะได้ดูหนังสยองก็คือตอนแม่ลูกออกไปเที่ยวนั่นแหละครับ ทีนี้ล่ะเปิดแนวสยองได้แบบจัดเต็ม และสำหรับ Evil Dead Rise นี่ก็นั่งดูตอนได้โอกาสนั่นแหละ

สำหรับหนนี้เหตุสยองมาเกิดในเมืองครับ เมื่อครอบครัวหนึ่งที่ประกอบด้วยคุณแม่ (Alyssa Sutherland) คุณลูกอีก 3 คน หญิงสองชายหนึ่ง (Gabrielle Echols, Morgan Davies และ Nell Fisher) ซึ่งก็พอดีที่น้องสาวของคุณแม่ (Lily Sullivan) แวะมาหา ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็ต้องมาเผชิญกับความสยองของผีอมตะครับ

เห็นว่าตอนแรกหนังเรื่องนี้ทำสำหรับลงฉายทางสตรีมมิ่งครับ แต่พอทำออกมาได้ดีเลยมีการขยับไปฉายในโรงซึ่งก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครับ หนังทำเงินทำทองทั่วโลกไปกว่า $146 ล้าน ทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่ทำเงินสูงที่สุดสำหรับหนังชุดนี้ ส่วนในเรื่องของทุนสร้างนั้นบางแห่งก็บอก $12 ล้าน อีกแห่งก็บอก $19 ล้าน แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะจะตัวเลขไหนหนังก็ทำกำไรอยู่ดี

แล้วตัวหนังล่ะเป็นอย่างไร? ในความคิดผมหนังก็โอเคอยู่ครับ สยองดี ดูได้เรื่อยๆ แต่ถ้าถามว่าโปรดปรานไหมก็คงยังไม่ถึงขั้นนั้นน่ะครับ ว่าตามจริงคือภาคนี้เป็นภาคที่ผมชอบน้อยที่สุด – ซึ่งต้องขอขยายความหน่อยว่าไม่ใช่หนังไม่ดีนะครับ ผมว่าหนังน่ะมันโอเคอยู่ในมาตรฐาน เพียงแต่หากตีเป็นคะแนนแล้ว 4 ภาคก่อน (รวมถึงฉบับซีรี่ส์ด้วย) ผมจะให้คะแนนอยู่ราวๆ 7 – 8 แต่กับเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ครับ คือชอบน้อยกว่าแต่ไม่มาก น้อยกว่าหน่อยเท่านั้นแหละ

ถ้าจะให้นิยามหนังเรื่องนี้ก็คงเป็น “หนังสยองในท่ามาตรฐาน ที่เอาจักรวาล Evil Dead มาครอบลงไป” ว่าง่ายๆ คือเป็นหนังสยองที่เอากฎกติกามารยาทในโลกของ Evil Dead มาใส่ เราเลยจะได้เห็นลีลาโหดๆ แหวะๆ เลือดสดๆ ทะลักทะลายตามสไตล์ Evil Dead แต่ขณะเดียวกันกลิ่นอายหลักๆ มันจะยังไม่เชิงเป็น Evil Dead แต่จะดูเป็นพิมพ์เดียวโทนเดียวกับหนังสยองยุคปัจจุบันอย่างพวก Smile, Barbarian, Don’t Breath, Mama, Lights Out หรือ Ouija อะไรทำนองนี้น่ะครับ

คือถามว่าหนังสยองไหม? มันก็สยองนั่นแหละ – ถามว่าน่ากลัวไหม? ก็คงต้องแล้วคนครับ อย่างผมนี่ก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่หนังพยายามสร้างนะ คือรู้แหละว่าฉากโหดๆ แบบนี้เขาตั้งใจทำออกมาให้น่ากลัวน่ะ แต่ใจมันไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแบบตอนดูภาคก่อนๆ สักเท่าไร – อันนี้เลยบอกครับว่าคงแล้วแต่เส้นจริงๆ

Untitled06193

แล้วมีอะไรอยากสารภาพอย่างหนึ่ง คือระหว่างดูนี่ผมชอบทำท่าเหมือนวาทยากรน่ะครับ คือยกมือขึ้นมาแล้วโบกเป็นจังหวะตามฉากประเภท “รู้น่าว่าแกต้องแฮ่!” มันยกขึ้นมาแบบอัตโนมัติเลย แล้วก็นับจังหวะ 1 2 3 หรือบางฉากก็จังหวะนานหน่อยเป็น 1 2 3 4 5 ฯลฯ แล้วจากนั้นผีก็จะแฮ่! – พูดตรงๆ เลยก็คือระหว่างดูนี่เดาทางได้หมดน่ะครับว่าผีจะมาทางไหน มาไม้ไหน มาแบบไหน เพราะอย่างนี้แหละครับผมถึงนิยามว่านี่เป็น “หนังสยองในท่ามาตรฐาน” ที่แม้จะตั้งหน้าทำท่าสยอง แต่ก็ขาดความสด ขาดความประหลาดใจ ขาดท่าพลิกแพลง ซึ่งจริงๆ ท่าพลิกแพลงนี่แหละที่ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังชุด Evil Dead ครับ ประมาณว่าตั้งท่ารับไม่ทัน มันมาแล้ว ตู้ม! อะไรแบบเนี้ย แต่กับเรื่องนี้ไม่ค่อยมีเท่าไร

จริงๆ ความใหม่มันก็พอมีนะ อย่างเจ้าผีอมตะตอนไคลแม็กซ์ที่มาในทรงใหม่ ซึ่งผมว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย แต่จะเพราะว่าทีมงานจินตนาการยังไม่สุด หรือทุนไม่พอก็ยากจะคาดเดาครับ แต่กลายเป็นว่าผมเห็นเจ้า “ผีอมตะทรงใหม่” ได้ไม่เต็มตา ดูไปสักพักดันรู้สึกเหมือนผีมันเล่นซ่อนแอบ ไม่ให้เห็นแบบเต็มๆ สักที ตอนแรกก็คิดน่ะครับว่ามันคงมีฉากโชว์ให้เห็นร่างแบบเต็มๆ ตามั้ง แต่เอาเข้าจริงร่างที่ว่าก็ยังไม่ขลังพอ ยังไม่ว้าวพอ – อันนี้ไอเดียน่าสนใจ แต่ก็ยังไปไม่ถึงอีกนั่นแหละ

คือดูๆ แล้วเหมือนผมจะบอกว่าหนังไม่สนุก แต่ก็ไม่ใช่หรอกครับ หนังมันสยองเลือดสาดเยอะอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ปัญหามันอาจอยู่ที่กระผมก็ได้ที่เส้นลึกไป หรือไม่ก็ดูหนังแนวนี้มาเยอะไปจนไม่สะทกสะท้านอะไรกับมันมาก – แต่ถ้าให้พูดจากใจก็คงเป็นว่า หนังภาคนี้ยังสู้ของเก่าไม่ได้ครับ ของเก่านี่เอามาดูใหม่ผมยังสะดุ้งสะเทือนนะ เพราะหนังมันค่อนข้างจังหวะนรก คาดเดาได้ยาก และบางครั้งขนาดคาดเดาได้แต่ลีลาผีก็มักจะมาเหนือเมฆ ขนาดตั้งสติดีๆ เตรียมรับมือก็ยังอดไม่ได้ที่จะสติกระเจิง

อีกอย่างที่รู้สึกคือ พลังอำนาจของผีอมตะชุดนี้ดูจะจำกัดจำเขี่ยครับ ไม่เหมือนภาคก่อนๆ ที่อำนาจเยอะกว่า อย่างภาคก่อนๆ นี่คือผีคุมทั้งกระท่อมและทั้งป่า ต้นไม้ใบหญ้าอยู่ใต้อำนาจมันหมด กระทั่งสะพานก็ยังล่อซะขาดได้ แต่ผีภาคนี้ดูเหมือนอำนาจค่อนข้างจำกัด อาละวาดฟาดฟันอยู่ในวงแคบๆ แต่ก็พยายามคิดน่ะครับว่าผีคงคนละชุดกัน เพราะตำราที่เรียกมาก็เป็นคนละเล่ม – แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า พอผีอำนาจน้อยและไม่ค่อยมีทีเด็ด ความอร่อยของหนังก็เลยลดหลั่นกันไป

แต่ผมก็เชื่อว่าแฟนหนังชุดนี้ยังไงก็คงต้องตามไปดูอยู่แล้วครับ ซึ่งจริงๆ ผมว่าหนังก็โอเคนั่นแหละ ดูเอาเพลินได้ ดูเอาสยองได้ เพียงแต่ลีลาท่าทางของหนังมันอาจจะท่ามาตรฐานไปหน่อยเท่านั้นเอง และอีกอย่างที่ต้องชมคือดาราในเรื่องก็เล่นกันได้ดีครับ โดยเฉพาะเจ๊ Alyssa Sutherland นี่เวลาเป็นผีก็น่ากลัวมาก ยิ้มทีปากแทบฉีก นี่ถ้าจะไปเล่นภาคต่อของ Smile นี่ผมว่าได้เลยนะ แค่ยิ้มธรรมดาผมก็ตั้งท่าวิ่งแล้วล่ะ

และถ้าจะมีฉากไหนที่ผมอินที่สุด คงต้องยกให้ฉากที่ตัวละครหนึ่ง (ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องนรกแตกครั้งนี้) พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า “ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ” นาทีนั้นผมพูดแทรกออกมาระหว่างดูเลยว่า “ที่ชาวบ้านเขาจะตายห่านกันหมดก็เพราะเอ็งนั่นแหละ” 555 อินครับ ฉากนี้อิน

สรุปว่าดูได้ครับ และหากมีการทำภาคต่อตามมาอีกก็พร้อมดูเสมอ – และหากใครคาดหวังล่ะก็ อาจต้องลดเพดานลงหน่อยนะครับ อย่าหวังสูง แล้วผมเชื่อว่าท่านจะเพลินกับหนังได้

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าหนังเรื่องนี้มีคุณูปการอยู่อย่าง นั่นคือสามารถนำมาใช้เป็นสื่อการสอน เป็นอุทาหรณ์เตือนสติได้ครับ สาระสำคัญก็คือ หากท่านไปพบเจอตำราเก่าแก่อยู่ตามตรอกซอกห้องหลืบใดๆ ก็ตาม ขอจงอย่าครับ อย่าไปยุ่งกับมัน!!!... อันที่จริงแค่บ้านหรือตึกที่ท่านอยู่จู่ๆ ก็มีห้องใต้ดินโผล่ขึ้นมา พร้อมมีวัตถุเก่าแก่กระจัดกระจายอยู่ในนั้นแล้วล่ะก็ ทางที่ดีคือโกยเลยครับ ย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อตั้งหลักก่อนเลย แล้วจะโทรบอกให้หมอปลาหรือสารพัดหมอมาจัดการก็ว่ากันไป

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)