Action

The Burning Sea (2021) มหาวิบัติหายนะทะเลเพลิง

Untitled06068

The Burning Sea ถือเป็นหนังแนวภัยพิบัติที่บิ้วอารมณ์อุ่นเครื่องความระทึกได้เข้าท่ามากๆ เรื่องหนึ่งในรอบหลายปีมานี้

ผมกดเปิดดูเรื่องนี้ไปรอบหนึ่ง แต่ดูไปแค่ไม่กี่นาทีก็ตัดสินใจหยุด มันรู้สึกเหมือนยังไม่ได้อยากดูขนาดนั้นน่ะครับ แล้วตอนต้นๆ หนังก็ยังไม่ดึงดูดอะไร เลยตัดสินใจไปดูเรื่องอื่นก่อน จนกระทั่งวันนี้ก็กดเปิดดูใหม่ครับ ปรากฏว่าพอผ่านช่วงต้นๆ ที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรนักไปแล้ว ผมพบว่าหนังเข้าท่ากว่าที่คิดแฮะ

ช่วงต้นหนังแนะนำตัวละครหลักให้เราได้รู้จักครับ ได้แก่ โซเฟีย (Kristine Kujath Thorp) นักวิจัยสาวที่มีหน้าที่ควบคุมเรือดำน้ำขนาดเล็กในการสำรวจ เธอกำลังคบหาอยู่กับสเตียน (Henrik Bjelland) ที่ทำงานอยู่บนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งช่วงนี้ก็จะเรื่อยๆ ตามสูตร ยังไม่มีอะไรมาก แต่พอหนังเริ่มเข้าโซนภัยพิบัตินี่ความน่าสนใจมันค่อยๆ ไต่ระดับครับ ประมาณว่าเกิดเหตุแท่นเจาะแห่งหนึ่งถล่ม โซเฟียก็ถูกตามไปเพื่อควบคุมเรือดำน้ำเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิต ช่วงนี้นี่แหละครับที่ความน่าติดตามเริ่มไหลมา

อย่างที่หลายท่านทราบว่าผมชอบหนังลงน้ำครับ พวกลงไปสำรวจใต้น้ำนี่คือของโปรดเลยล่ะ แล้วก็บังเอิญแท้ที่หนังมีอะไรแบบนี้มาเสิร์ฟพอดี ฉากที่โซเฟียคุมเรือดำน้ำสำรวจนั่นทำออกมาได้ดีทีเดียว คือมันดูลึกลับราวกับมีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ใต้สมุทร (แต่ไม่มีนะครับ เรื่องนี้เป็นหนังภัยพิบัติครับ ไม่ใช่หนังสัตว์โลกน่ารัก) การนำเสนอฉากสำรวจใต้น้ำนี่มันได้อารมณ์ตึง เครียด และเกร็งครับ แล้วจากนั้นหนังก็ค่อยๆ เผยปมให้เรารู้ทีละนิดว่ากำลังจะเกิดเหตุร้ายกลางมหาสมุทร แต่มันเป็นการเผยปมแบบค่อยเป็นค่อยไป คือไม่ใช่ว่าจู่ๆ มีหลักฐานโต้งๆ โผล่ออกมายืนยัน แต่เป็นการค่อยๆ ได้หลักฐานมาทีละส่วนเอามาประกอบกัน ซึ่งในแง่การเดินเรื่องถือว่าอุ่นเครื่องได้ดี ส่วนในแง่ของบทก็ทำให้รู้สึกสมเหตุผลอยู่กับการที่ทางบริษัท่ไม่ได้รีบอพยพคนในทันที ก็เพราะหลักฐานมันยังไม่ชัด ข้อมูลมันยังไม่ครบซะทีเดียว

แต่กระนั้นหลักฐานที่ค่อยๆ โผล่มาก็ทำให้ความผวาในใจคนดูค่อยสะสมและเพิ่มขึ้นตามลำดับครับ อารมณ์เหมือนเราอยู่ในห้องที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นๆ ตอนแรกอาจทนอยู่ได้ อาจยังไม่เอะใจ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันจะร้อนจนเกินทนไหว แล้วเมื่อนั้นเราก็รู้ทันทีว่าเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่อง แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเราอาจหนีเกือบไม่ทันแล้วก็ได้ – นี่แหละครับคืออารมณ์ที่หนังก่อให้คนดูสัมผัส

Untitled06069

ช่วงครึ่งแรกหนังจึงค่อนข้างน่าติดตามครับ ดูไปก็ลุ้นไปว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ลุ้นไปว่าจะต้องมีคนประสบเหตุร้ายไหม ใครจะรอด ใครจะไม่รอด ซึ่งลีลาการนำเสนอแบบนี้จะต่างจากหนังภัยพิบัติฮอลลีวู้ดที่มักจะเน้นโชว์ CG เน้นความระทึกมาเสิร์ฟให้บ่อยเข้าไว้ คนดูจะได้ตื่นตาตื่นใจ แต่กับเรื่องนี้อย่างที่บอกครับ มันค่อยๆ บิ้วๆ หายนะค่อยๆ ปรากฏ หลักฐานค่อยๆ โผล่ ว่าตามจริงคือเราแทบไม่เห็นภาพภัยพิบัติแบบชัดเจน แต่ปมต่างๆ และหลักฐานทั้งหลายที่โผล่มามันทำให้เราอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงภัยร้ายที่กำลังใกล้เข้ามา – ว่าง่ายๆ คือหนังแนวนี้ของฮอลลีวู้ดมากนำเสนอภาพแบบครบทั้งแสงสีเสียง แต่กับเรื่องนี้หนังเลือกที่จะบ่มเพาะความกลัวให้ก่อตัวในใจเรา ให้ความคิดและจินตนาการของเราเตลิดเปิดเปิงไป ทั้งที่เหตุการณ์ตอนนั้นอาจยังไม่ได้ร้ายแรงปานนั้น

ผมเลยค่อนข้างชอบครับ แม้เอาเข้าจริงฉากภัยพิบัติมันอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ละลานตา และโผล่มาแบบนานๆ ที แต่อารมณ์มันได้ครับ Feel มันถึงน่ะ ดังนั้นก็ต้องขึ้นกับความชอบของเท่านด้วยครับ ถ้าท่านชอบอะไรที่มันตื่นเต้นแบบเห็นจะๆ ตาและมาเยอะแบบจัดเต็ม หนังเรื่องนี้ก็อาจไม่ได้มีให้ท่านเยอะแบบนั้น แต่หากใครชอบหนังที่บิ้วอารมณ์ให้ระอุเพิ่มขึ้นทีละองศาล่ะก็ หนังเรื่องนี้ถือว่าน่าลองทีเดียว

แต่กระนั้นถ้าถามว่าผมชอบหนังแบบสุดๆ ไหม ก็ตอบได้ว่า “ยัง” ครับ คือเกือบจะชอบมากๆ แล้วเชียว หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แรกของหนังนี่ทำออกมาได้ชวนติดตาม แต่แล้วช่วงครึ่งชั่วโมงท้ายหนังดูจะดร็อปลงไปครับ นั่นคือช่วงที่ตัวละครหลักต้องตามไปช่วยคนที่ติดอยู่ในแท่นที่ถล่ม ช่วงนั้นหลายอย่างกลับดูง่ายเกินคาด คือตอนแรกนึกว่าจะมีโจทย์ยากๆ ให้แก้ประเภทว่ากว่าจะช่วยคนที่ติดอยู่ได้นี่ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก แต่กลับไม่เป็นแบบนั้นครับ หลายอย่างมันง่ายมาก แทบไม่ต้องลุ้นอะไรเลย รวมถึงฉากที่น่าจะถือว่าเป็นไคลแม็กซ์ตอนท้าย (ที่ให้ลุ้นเป็นดอกสุดท้ายว่าพวกตัวเอกจะรอดหรือไม่) ช่วงนี้บทที่อะไรๆ มันจะคลี่คลาย ก็คลายง่ายซะอย่างนั้นเช่นกัน

กลายเป็นว่าความลุ้นความสนุกของหนังมันไปกระจุกอยู่ที่หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แรกครับ ส่วนครึ่งชั่วโมงท้ายอันนี้ก็ต้องบอกไว้หน่อย ว่าควรจะเผื่อใจไว้ มันไม่ได้ลุ้นอะไรมากขนาดนั้น – ดังนั้นควรปรับระดับความคาดหวังไว้ครับ จะได้ไม่รู้สึกผิดหวัง – มานั่งคิดๆ อยู่นี่สงสัยผมเองก็จะแอบผิดหวังหน่อยๆ เหมือนกันน่ะครับ เพราะช่วงต้นและช่วงกลางมันหนังมันให้ความหวังค่อนข้างมาก จนผมนี่เกือบจะยกให้เรื่องนี้เป็นหนังแนวภัยพิบัติที่เข้าท่าที่สุดในรอบหลายปีให้เลยนะ แต่เพราะความง่ายของช่วงท้ายนี่แหละครับที่ทำให้บางอย่างบางส่วนมันดร็อปลงไป

แต่โดยรวม ผมก็ยังถือว่าหนังควรค่าแก่การรับชมอยู่นะครับ อย่างน้อยครึ่งแรกก็ทำได้สนุกและชวนติดตาม ใครชอบหนังที่บิ้วอารมณ์แบบให้เราค่อยๆ เกร็งเนี่ย น่าจะเข้าทางครับ

กะว่ามีโอกาสก็จะดูซ้ำอีกครับ เพราะช่วงครึ่งค่อนเรื่องแรกมันน่าติดตามได้ใจผมจริงๆ

สองดาวเกือบครึ่งครับ

Star21

(6.5/10)