Horror

Firestarter (2022) หนูน้อยพลังเพลิง

Untitled06040

ว่าตามจริง Firestarter เวอร์ชั่นปี 1984 อาจไม่ใช่หนังที่เจ๋งแจ๋วอะไรมากครับ แต่ก็ถือว่าสอบผ่านสำหรับหนังที่สร้างจากนิยายของ Stephen King ตัวหนังถือว่าดูได้เรื่อยๆ มีความน่าติดตามในระดับหนึ่ง และสิ่งสำคัญที่พยุงหนังไว้ได้ก็คือการแสดงเข้าท่าๆ ของเหล่าดาราทั้งหลาย ไม่ว่าจะ George C. Scott, David Keith, Martin Sheen, Louise Fletcher, Moses Gunn รวมถึง Drew Barrymore ตอนยังเป็นหนูน้อย

ส่วน Firestarter เวอร์ชั่นใหม่นี่ก็ต้องสารภาพก่อนอื่นเลยครับว่ามีบางช่วงที่วูบหลับคาโซฟา ต้องกรอย้อนอยู่หลายช่วงเหมือนกัน โดยส่วนตัวให้ชื่อว่า Fireslower เพราะหนังค่อนข้างเดินเรื่องช้า อะไรต่อมิอะไรดูช้าเชื่อง ตัวละครไม่ดึงดูด ปมไม่ชวนให้สนใจติดตาม จนผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเวอร์ชั่น 1984 ดูดีกว่าและดูเพลินกว่าเยอะ

พล็อตยังคงหลักเดิมเอาไว้ นั่นคือ ชาร์ลี แมคกี (Ryan Kiera Armstrong) เป็นหนูน้อยพลังเพลิงที่ตกเป็นเป้าในการตามล่าของทางการเนื่องจากมีคนอยากเอาพลังเพลิงของเธอไปใช้ ทำให้แอนดี้ (Zac Efron) พ่อของชาร์ลีต้องหอบลูกหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ครับ พล็อตยังคล้ายเดิม แต่โครงเปลี่ยนไปพอตัว โดยครึ่งแรกหนังเน้นนำเสนอมาที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวแมคกี ซึ่งเป็นครอบครัวที่ภายนอกดูเหมือนรักใคร่กันดี แต่ภายในทั้ง 3 พ่อแม่ลูกต่างก็มีปมในใจทั้งต่อกันและกันและต่อตัวเอง จริงๆ ช่วงที่ว่านี่ในแง่หนึ่งก็ทำให้รู้จัก 3 พ่อแม่ลูกมากขึ้น แต่บอกตรงๆ เลยว่ามันไม่น่าสนใจนัก อย่างที่บอกน่ะครับว่าหนังเดินเรื่องแบบช้าๆ ไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฉบับที่แล้วหนังใช้เวลาเล่าเรื่องในครอบครัวไม่มาก แต่ตรงประเด็นกว่า แล้วหนังก็เน้นไปให้เวลากับการหนีของพ่อลูกซึ่งก็มีอะไรให้ตื่นเต้น ให้ติดตามมากกว่า

ส่วนฉบับนี้ครึ่งแรกนี่ค่อนข้างนิ่งครับ หรือถึงตอนที่เข้าเรื่องการไล่ล่า มันก็ยังค่อนข้างนิ่ง พวกความเร้าใจอะไรถือว่าน้อย หนังจะมาดูมีอะไรน่าสนใจจริงๆ ก็ตอน 20 นาทีสุดท้ายตอนที่ชาร์ลีบุกฐานลับน่ะครับ แต่ที่ว่าดูมีอะไรขึ้นมาหน่อยเนี่ย เอาเข้าจริงก็ยังไม่น่าสนใจเท่าไคลแม็กซ์ของฉบับเก่าที่ออกมาอลังกว่า ในขณะที่ฉบับนี้ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Morgan, Fantastic Four (2015) และ The New Mutants น่ะครับ – แต่ละเรื่องที่ผมยกมานี่ความสนุกไม่ค่อยมากน่ะนะครับ และหนังเรื่องนี้ก็เจริญรอยตามหนังเหล่านั้นไปครับ

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือตัวละครในเรื่องไม่น่าสนใจเท่าที่ควร คืออันนี้แยกกันกับเรื่องดารานะครับ ผมมองว่าดาราที่เลือกมาจริงๆ แต่ละคนก็โอเค ในแง่การแสดงผมว่าพวกเขาก็โอเคน่ะ แต่คาแรคเตอร์มันไม่น่าสนใจไม่ว่าจะครอบครัวแมคกี, ผู้กองฮอลลิสเตอร์ (Gloria Reuben) ที่หนนี้เป็นผู้หญิง ฉบับเดิมจำได้เลยว่า Martin Sheen เล่นไว้ให้คาแรคเตอร์นี้เป็นคนทะเยอทะยาน ใฝ่อำนาจและความสำเร็จส่วนตน แต่กับฉบับนี้ฮอลลิสเตอร์ดูแปร่งๆ คือเหมือนๆ จะบ้าอำนาจแต่ก็ไม่เชิง เพราะบางวาระๆ ก็ดูกล้าๆ กลัวๆ เหมือนไม่มั่นใจในตนเอง

Untitled06041

แต่รายที่คลุมเครือสุดคือเรนเบิร์ด ที่เวอร์ชั่นเดิม Scott เล่นไว้ได้อย่างน่าสนใจ ดูเป็นมือสังหารเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ ตีได้หลายหน้า – แต่ถึงจะมีหลายหน้า ทว่าความต้องการที่แท้จริงของเขาชัดเจน – ส่วนเวอร์ชั่นใหม่นี่ยอมรับเลยว่างงๆ กับคาแรคเตอร์นี้ จนอยากเดินเข้าไปถามเลยว่า “พี่ ตกลงพี่จะเอายังไงกันแน่” คือจะดีจะร้าย จะลึกจะตื้นก็ยังงง จุดนี้ผมไม่โทษ Michael Greyeyes ที่มาแสดง แต่ผมสงสัยไปที่บทมากกว่าว่าตกลงจะให้ตัวละครนี้เอายังไงกันแน่ ยิ่งตอนท้ายนี่ยอมรับเลยว่ากะแล้วว่ามันต้องลงเอยแบบนี้ แต่ด้วยความที่คาแรคเตอร์มันดู Lost in the Mist มาตลอด เลยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง – สรุปคือฉบับก่อนตัวละครนี้ซับซ้อนแต่ดูแล้วเข้าใจชัด ส่วนฉบับนี้ตัวละครก็ถือว่าซับซ้อน แต่ชวนงง (ลึกๆ ผมมองว่าพี่แกก็งงตัวเองด้วยแหละ 555)

ส่วนหนูน้อย Ryan Kiera Armstrong กับบทชาร์ลี จริงๆ ผมว่าเธอทำได้ไม่เลวนะครับ เพียงแต่บทก็อีกนั่นแหละ มันไม่ทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละคร เหมือนแต่ละช่วงที่คาแรคเตอร์เธอเปลี่ยนไปนั้น มันเปลี่ยนไปตามบทกำหนดมากกว่าจะเปลี่ยนไปตามแรงขับของเรื่องราว

อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยคือ “ไฟ” ครับ ไฟแท้ๆ จากเวอร์ชั่นก่อนมันดูมีพลังกว่า “ไฟ CG” ของเวอร์ชั่นนี้เยอะ

ไม่ประทับใจนักครับ แต่ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรที่ชอบบ้างไหม จริงๆ มีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือดนตรีครับ ดนตรีถือว่าเวิร์ก โดยเฉพาะตอน End Credits นี่ถือว่ารับกับอารมณ์ตอนจบได้ดีเลย ซึ่งก็เป็นฝีมือของลุง John Carpenter, Cody Carpenter และ Daniel A. Davies ที่ได้กลิ่นอายหนังไซไฟสยองขวัญยุค 90 แบบเต็มๆ – ถึงจุดนี้ก็มีเรื่องต้องเล่าครับว่า จริงๆ แล้ว Firestarter ฉบับดั้งเดิมนั้น คนกำกับเกือบจะเป็นลุง John Carpenter อยู่แล้วเชียว แต่พอดีตอนนั้นหนัง The Thing ที่เขาทำเกิดไม่ทำเงินขึ้นมา ทางค่าย Universal เลยเปลี่ยนใจไปให้คนอื่นกำกับแทน (แต่เอาเข้าจริง รายได้ของ The Thing (ได้ไป $19 ล้าน) ยังได้มากกว่า Firestarter (ได้ไป $17 ล้าน) อีกครับ)

อันนี้คิดเลยนะ ว่าถ้าฉบับนี้ให้ลุง John แกได้กำกับเนี่ย มันจะออกมาเป็นยังไง – ยังอยากเห็นวิสัยทัศน์ของลุงที่มีต่อเรื่องนี้อยู่ครับ แต่ก็ได้แต่เสียดายน่ะนะครับ

เอาเข้าจริงหนังไม่ทำเงินครับ แต่ก็ไม่น่าจะเจ็บตัวอะไรมาก เพราะลงทุน $12 ล้าน ได้คืนมา $15 ล้านจากทั่วโลก คาดว่าตอนนี้ค่าอะไรต่อมิอะไรที่หนังได้น่าจะพอโปะให้เท่าทุนได้แล้วล่ะ

สรุปว่าไม่ใคร่จะสมใจนักครับ

ดาวกว่าๆ ครับ

Star11

(4.5/10)