Action

Firestarter (1984), เจ้าหนูพลังเพลิง

Untitled06038

ก่อนดูเวอรั่นใหม่ก็ขอย้อนดูเวอร์ชั่นเก่าสักหน่อยครับ เคยดูเมื่อนานมากๆ มาแล้ว จำรายละเอียดแทบไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าดูแล้วก็เรื่อยๆ ไม่ถึงกับชอบอะไร ครั้นมาดูรอบใหม่ความชอบอาจไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็รู้สึกเพลินกับหนังพอสมควร

เรื่องราวของแอนดรูว์ แมคกี (David Keith) คุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวที่ชื่อชาร์ลี (Drew Barrymore) หนีการตามล่าของทางการ เพราะชาร์ลีนั้นมีพลังจิตสามารถสร้างไฟให้ลุกได้ ทางการเลยต้องการตัวเธอมาเพื่อทำการทดลองและเอาพลังมาใช้เป็นอาวุธทางทหาร

ผมว่าหนังทำออกมาได้ไม่เลวครับ คือมันอาจจะไม่ได้สุดยอดอะไรน่ะนะครับ แต่มันดูได้เรื่อยๆ ถือเป็นหนังที่ดัดแปลงจากงานของ Stephen King ได้โอเค ส่วนหนึ่งก็คงเพราะโครงสร้างองค์ประกอบต่างๆ จากนิยายที่ King คิดเอาไว้นั้นมันเป็นฐานที่ค่อนข้างแน่นสำหรับหนัง ดังนั้นแม้หนังจะดัดแปลงมาแล้วอาจจะเอาของดีในนิยายมาใส่ได้ไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยองค์ประกอบทั้งหลายมันก็มีดีมีความแกร่งความแน่นของมันในระดับหนึ่ง และพอมันมาถ่ายทอดเป็นหนังมันเลยยังพอได้กลิ่น “ความน่าสนใจสไตล์ King” อยู่บ้าง

ผมมองว่าของดีหลักๆ เลยที่ช่วยพยุงหนังไว้นอกจากโครงสร้างดีๆ ของ King (ที่มีมาตั้งแต่สมัยนิยาย) แล้ว ก็ต้องยกให้นักแสดงครับ ดาราถือว่าเลือกระดับคุณภาพมาขึ้นจอ รายที่พลังมาเยอะสุดๆ ต้องยกให้ George C. Scott ในบทจอห์น เรนเบิร์ดนักฆ่าที่มีแผนบางอย่างกับตัวชาร์ลี คือจริงๆ แค่ใบหน้าของเขานี่ก็เด่นแล้วนะครับ หน้าของเขามีเอกลักษณ์ในความกร้าวแกร่งและดูน่าเกรงขาม และในเรื่องนี่เขายังแสดงออกมาหลายบททั้งในฐานะนักฆ่าเลือดเย็นและตอนพยายามตีสนิทกับชาร์ลีนี่ก็จะได้เห็นลีลาการแสดงอีกแบบ ซึ่งบอกได้เลยว่าเขาคือของดีที่ช่วยหนังไว้ได้เยอะอยู่

ส่วนหนูน้อย Drew Barrymore ก็ถือว่าแสดงได้น่ารักครับ โอเคถ้าพูดกันแบบตรงๆ แล้ว ในซีนอารมณ์บางซีนมันอาจยังดูไม่เนียนบ้าง แต่ก็พอข้ามๆ ไปได้เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กน่ะนะครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใบหน้าน้อยๆ และความน่ารักของเธอถือว่าเหมาะกับภาพของชาร์ลีอยู่ไม่น้อย

Keith ก็โอเคครับ ดูเป็นพ่อที่ทุ่มเทและรักลูกมากๆ ในแง่การแสดงผมว่าพอๆ กับ Martin Sheen ที่มารับบทผู้กองฮอลลิสเตอร์ ผู้บงการการตามล่าชาร์ลี รายนี้สมัยโน้นก็ดูเหมาะมากๆ กับบทนายทหารระดับสูง หรือนักการเมืองที่ดูภูมิฐาน ทว่าจิตใจแฝงไว้ด้วยความโหดและสนใจแต่ผลประโยชน์ของตนเอง และยังได้ Art Carney กับ Louise Fletcher มาร่วมจอในบทสามีภรรยาใจดีที่หยิบยื่นน้ำใจให้กับสองพ่อลูก ทั้งคู่ก็แสดงได้พอเหมาะครับสำหรับบทสมทบที่แม้จะบทไม่เยอะ แต่ก็จัดว่าน่าจดจำ

และหนังเรื่องนี้ยังถือเป็นผลงานหนังจอใหญ่ชิ้นแรกของ Heather Locklear ในบทวิคกี้ แม่ของชาร์ลีที่มีบทน้อยสุดๆ ครับ

Untitled06039

หนังกำกับโดย Mark L. Lester ที่ถือว่าผลงานส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในระดับกลางๆ ครับ ก่อนจะมาทำเรื่องนี้เขาก็ทำ Roller Boogie (Linda Blair นำแสดง) แล้วก็ Class of 1984 หนังปฐมบทของเหี้ยมหุ้มเหล็ก (Class of 1999) แล้วถัดจากเรื่องนี้เขาก็ได้ไปทำ Commando ที่นำแสดงโดย Arnold Schwarzenegger สำหรับเรื่อง Firestarter นี่ก็ถือเป็นผลงานที่ใช้ได้ของเขาครับ อย่างน้อยในแง่การเล่าเรื่อง การเดินเรื่องก็ถือว่าทำได้โอเค พอจะมีอะไรให้ติดตามอยู่ แม้พลังความเข้มข้นอาจยังไม่มากนักก็ตาม

อีกอย่างที่ถือว่าเวิร์กคืองาน Effect ในการสร้างไฟครับ เพราะจะว่าไปไฟก็เหมือนเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีบทบาทไม่น้อยในหนัง เชื่อว่าทุนสร้างส่วนใหญ่ก็คงหมดไปกับฉากไฟลุกนี่แหละครับ โดยเฉพาะตอนท้ายนี่ไฟมาเต็ม สร้างอารมณ์ชวนผวาได้ดี – จริงๆ อารมณ์มันจะคล้ายๆ กับ Carrie ครับ แต่ผมว่า Carrie ทำได้เหนือชั้นกว่าในเรื่องของอารมณ์

จริงๆ แล้วคนที่ถูกวางตัวให้มากำกับหนังเรื่องนี้ในตอนแรกคือ John Carpenter ครับ ตอนนั้นเขากำลังทำหนัง The Thing อยู่ แล้วก้ได้รับการทาบทามให้มาทำ ซึ่ง Carpenter ก็ยินดีนะครับ เขาตอบรับพร้อมทั้งให้ Bill Lancaster มือเขียนบทจาก The Thing ให้มาช่วยดัดแปลงบทจากนิยาย Firestarter พอเขียนเสร็จก็ส่งให้ Stephen King อ่าน ซึ่ง King ก็โอเคครับ แล้วงานก็เดินหน้าไปจนถึงขั้นที่ Carpenter กะจะให้ Richard Dreyfuss มารับบทแอนดรูว์ แมคกี

แต่แล้วก็เหมือนเกิดฟ้าผ่ากลางงาน เมื่อหนัง The Thing ไม่ทำเงิน ทำให้ทางค่าย Universal ตัดสินใจไม่ให้ Carpenter ทำ และโยกไปให้ Lester กำกับแทน และตัวบทที่ Lancaster เขียนไว้ก็โดนถอดออกเช่นกันครับ โดยคนใหม่ที่มาดัดแปลงบทให้ก็คือ Stanley Mann โดยที่ Lester เองก็มีส่วนในการดัดแปลงบทครั้งนี้ด้วย และว่ากันว่าบทฉบับนี้จะตรงตามนิยายมากกว่าฉบับที่ Lancaster เขียนไว้ – แต่บอกตรงๆ ว่าแอบเสียดายครับ อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าลุง John Carpenter แกทำเนี่ยมันจะเป็นยังไง รู้แต่ว่าลุง John แกทำ Christine (หนังอีกเรื่องที่ดัดแปลงจากนิยายของ King) ออกมาได้สนุกครับ และทำเงินใช้ได้ด้วย

เกร็ดอีกนิดที่อยากบอกคือผู้อำนวยการสร้าง Dino De Laurentiis ที่ทำหนังเรื่องนี้ ซื้อลิขสิทธิ์นิยายจาก King มาทำเป็นหนังด้วยสนนราคา $1 ล้านครับ และว่ากันว่าเพื่อประหยัดต้นทุนในการถ่ายทำ Laurentiis เลยไปจ้างทีมงานในกองถ่ายส่วนใหญ่มาจากอิตาลีครับ (เพราะทางโน้นค่าแรงจะถูกกว่าคนอเมริกัน)

ก็ถือว่าหนังดูได้เรื่อยๆ ครับ โดยส่วนตัวผมว่าไม่เลวนะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้โดดเด่นแบบเต็มๆ แต่อย่างน้อยฉากไคลแม็กซ์ก็ทำได้อลังการดี คือมันดูยิ่งใหญ่ครับ เป็นการสำแดงพลังของชาร์ลีที่ยิ่งใหญ่ แต่ในแง่ความน่ากลัวแล้วอาจยังไม่มากนักเท่านั้น

แต่ตัวหนังเองก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางรายได้ครับ หนังลงทุน $15 ล้าน ได้คืนมาราว $17 ล้านเท่านั้น

แน่นอนว่านิยายเด็ดกว่าครับ แต่ในฐานะหนังที่ดัดแปลงจากงานของ King แล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในหนังที่อยู่ในข่ายโอเคครับ

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)