
ตอน Anger Management เข้าโรงนี่ หนังอยู่ในลิสต์ “ต้องดู” สำหรับผมเลยครับ มันถือเป็นหนังในฝันเลยนะ เพราะเป็นการโคจรมาเจอกันของจอมบ้ารุ่นเดอะอย่าง Jack Nicholson กับจอมบ้ารุ่นน้องอย่าง Adam Sandler ว่าง่ายๆ คือกะเข้าไปดูพวกพี่เขาบ้ากันแบบเต็มที่น่ะครับ
เรื่องของเดฟ บัซนิก (Sandler) หนุ่มจอมหงอที่ชอบเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ เขาได้มาเจอกับเรื่องบ้าๆ บนเครื่องบินอันส่งผลให้เขาโดนตำรวจจับและศาลสั่งให้เขาต้องเข้ารับการบำบัดอารมณ์โกรธโดยผู้บำบัดคือ ดร.บัดดี้ ไรเดลล์ (Nicholson) แต่ไปๆ มาๆ ไรเดลล์ทำท่าว่าจะบ้ายิ่งกว่าคนไข้ซะอีก และแน่นอนว่าเรื่องบ้าๆ อีกสารพัดก็เกิดตามมาจนได้
เป็นหนังที่ถือว่าดูเอามันส์ครับ ความฮาอาจไม่ได้ถล่มทลายอะไรมากนะ แต่สำหรับผมแล้วการได้เจอ Nicholson มาบ้าร่วมกับ Sandler นี่ถือว่าตอบโจทย์แล้วล่ะ Nicholson ก็บ้าคลั่งคุ้มดีคุ้มร้าย ส่วน Sandler ก็บ้าแบบหงอๆ เป็นการจับคู่กันที่น่าสนใจครับ ว่าตามจริงคือบทไม่ได้แน่นอะไรนัก หลักๆ แล้วคือผูกเรื่องผูกสถานการณ์เพื่อเอื้อให้พวกพี่ๆ เขาได้วาดลวดลายและใส่ความบ้าเป็นหลักนั่นแหละ
แล้วก็ตามสูตรของหนัง Sandler ครับที่จะต้องมีดาราหน้าคุ้นมาเสริมทัพความเพี้ยน ไม่ว่าจะ John Turturro, Luis Guzmán, Allen Covert, Jonathan Loughran และ John C. Reilly แต่ละรายก็มาขโมยซีนเป็นระยะๆ แต่ผมเชื่อว่ารายที่หนุ่มๆ น่าจะจำได้แม่น (แบบตาเป็นมัน) คงเป็น Krista Allen กับ January Jones คู่สาวหนังผู้ใหญ่ ซึ่งผมบอกได้เพียงว่าหากใครเตะตา Allen ล่ะก็ ขอแนะนำหนังชุด Emmanuelle in Space ครับ ตอบโจทย์แน่นอน
แล้วก็ตามเคยอีกเช่นกันที่นางเอกของนาย Sandler ต้องสวยครับ และเรื่องนี้นางเอกคือ Marisa Tomei ที่ว่าตามจริงบทเธอไม่ได้เยอะ (ตามสไตล์นางเอกของ Sandler นั่นแหละ) แต่ถึงบทจะน้อยทว่าเธอก็ยังเล่นดีเหมือนเดิมครับ ผมชอบแววตาของเธอในตอนไคลแม็กซ์นะ คือมันบ่งบอกความรู้สึกได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน และที่สำคัญคือมันสื่อได้แบบชัดเจนมากว่าผู้หญิงคนนี้รักนายเดฟจริงๆ

อีกหนึ่งดาราที่ผมอยากเอ่ยถึงคือ Lynne Thigpen ที่มาแสดงเป็นผู้พิพากษาเบรนด้า แดเนี่ยลส์ ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นผลงานหนังโรงเรื่องสุดท้ายของเธอครับ เพราะเธอจากไปราวๆ 1 เดือนก่อนหนังฉาย และหนังก็เรื่องนี้ก็อุทิศให้เธอด้วยครับ
หนังกำกับโดย Peter Segal (Naked Gun 33 1/3: The Final Insult และ Nutty Professor II: The Klumps) ซึ่งว่าตามจริงแล้วฝีมือของพี่เขายังไม่เด่นแบบเต็มๆ ครับ หนังของเขาส่วนใหญ่ต้องพึ่งพลังดาราและความแน่นหนาของบทเป็นหลัก ถ้า 2 อย่างนี้ดีหนังก็จะกลมกล่อม (อย่าง 50 First Dates เป็นต้น) ส่วนเรื่องนี้ดาราถือว่าโอเคครับ แต่บทอาจยังไม่แน่น ผลที่ได้เลยออกมากลางๆ คือดูได้เพลินๆ แต่ยังไม่ถึงกับติดตาตรึงใจ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือดนตรีครับ ผลงานของ Teddy Castellucci ที่ผมชอบจาก Mr. Deeds มาเรื่องนี้ดนตรีของเขาเราอาจไม่ค่อยได้ยินเท่าไร แต่ตอนฉากไคลแม็กซ์นั่นดนตรีถือว่าทำได้ซึ้งดีทีเดียวครับ (แล้วอีกช่วงที่ได้ฟังดนตรีขอเขาแบบเต็มๆ คือตอน End Credits ครับ ซึ่งก็ถือว่าเพราะไม่น้อยเหมือนกัน)
แต่ในแง่รายได้ถือว่าใช้ได้ครับ หนังลงทุนราว $75 ล้าน แล้วทำเงินจากทั่วโลกไป $195 ล้าน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งหนังในยุครุ่งเรืองของ Sandler
สาระจากหนังก็คือการกระตุ้นเตือนให้เราเห็นความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ครับ เวลาโกรธหรือไม่พอใจก็คุมมันเอาไว้ พยายามใช้สตินำทาง หากทนไม่ไหวก็ควรพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นั้นก่อน อย่าใจร้อนพุ่งชนเพราะมันอาจเสียมากกว่าได้
แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องบริหารจัดการชีวิตไปพร้อมๆ กัน นั่นคือไม่ปล่อยให้ใครมากดขี่ข่มเหงหรือเอาเปรียบเรา บางครั้งก็ต้องยืนหยัดเพื่อตัวเองบ้าง และกล้าที่จะพูดในสิ่งที่คิดบ้าง (แต่แน่นอนว่าถ้าจะให้ดี ก็ควรคิดใคร่ครวญก่อนพูดเสมอน่ะนะครับ)
สรุปว่าเป็นหนังดูเพลินๆ ตามสไตล์นาย Adam Sandler ครับ
สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Movie Reviews










