Christmas Movies

My Christmas Family Tree (2021) ต้นคริสต์มาสของครอบครัวฉัน

Untitled06000

กิจวัตรยามเช้าในช่วงหลายวันมานี้ของผม หลังจากส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว ก็จะมาเปิดดูหนัง Feel Good หรือไม่ก็หนังคริสต์มาสดูครับ ยอมรับเลยว่าดูแล้วมันสุขใจ และพลอยทำให้ช่วงเวลาที่เหลือของวันมันเต็มไปด้วยบรรยากาศดีๆ แม้จะมีปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเรารับมือกับมันได้ด้วยใจที่เบิกบาน

และ My Christmas Family Tree คืออีกหนึ่งหนัง Feel Good ที่อยากแนะนำให้คนที่ชอบหนังแนวนี้ได้ดูกันครับ ดูแล้วแฮ้ปปี้จริงๆ

ตัวเอกของเรื่องคือ วาเนสซ่า (Aimee Teegarden) สาวน้อยที่อยู่ในมหานครนิวยอร์ค เธอลองตรวจดีเอ็นเอของตนเองด้วยความหวังว่าจะได้เจอกับพ่อที่เธอไม่เคยได้พบ แล้ววันหนึ่งผลก็ออกมาครับว่าพ่อของเธอคือ ริชาร์ด เฮนดริกส์ (James Tupper) และเขาก็อยู่ในเมืองแบร์ริงตันที่ห่างออกไปไม่กี่ชั่วโมง เธอเลยนัดหมายพบปะกับเขาก่อนจะไปร่วมใช้เวลาอยู่ด้วยกันในช่วงวันคริสต์มาส แล้วนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของความรักและความอบอุ่นที่เธอใฝ่หา

หนังเต็มไปด้วยพลังบวกครับ คือถ้าใครจะมองว่านี่เป็นหนังแฟนตาซีหรือ Fairy Tale นี่ผมก็ว่าไม่แปลกนะ เพราะตลอดทั้งเรื่องหนังเต็มไปด้วยตัวละครที่น่ารัก มีมิตรจิตมิตรใจและความห่วงใยให้กัน อย่างครอบครัวของริชาร์ดนี่ตอนแรกลูกๆ ของริชาร์ดอาจรู้สึกแปลกๆ และไม่ยอมรับวาเนสซ่าอยู่บ้าง แต่พอวาเนสซ่าใช้ความจริงใจเป็นสื่อกลางแล้ว ทุกคนในบ้านนั้นก็พร้อมจะต้อนรับเธอเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว คือบอกเลยตรงนี้ครับว่าหนังไม่มีตัวร้ายตัวอิจฉามาทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย

ซึ่งถ้าใครมองโลกแบบจริงจังหน่อยก็อาจรู้สึกว่าหนังมัน Fairy Tale เหลือหลาย ครอบครัวอะไรมันจะน่ารักเกินร้อยได้แบบนั้น อันนี้ก็ต้องแล้วแต่น่ะนะครับ ส่วนผมน่ะปรับหัวตัวเองได้ตั้งแต่หนังเดินเรื่องไปสักครึ่งชั่วโมงแล้ว คือดูแล้วรู้เลยว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องดีๆ คนดีๆ บรรยากาศดีๆ พูดตรงๆ เลยก็คือเป็นหนังสายบันเทิงที่กะขายความสุขกันแบบเต็มพิกัด – ก็เลยขอบอกไว้ก่อนครับ เพราะใครไม่ชอบหนังที่โลกสวยเกินไปก็อาจไม่ถูกใจสิ่งนี้ก็เป็นได้

แต่ผมนี่อ้าแขนโอบรับแบบเต็มรักครับ ชอบอยู่แล้วหนัง Feel Good แบบนี้ ซึ่งหนังทำออกมาได้น่ารักตลอดตั้งแต่ต้นจนจบครับ ตัวละครในเรื่องเต็มไปด้วยความรักความเข้าใจ วาเนสซ่าก็น่ารักสดใส อารมณ์คล้ายๆ ลูซี่ในหนัง While You Were Sleeping ที่ Sandra Bullock เล่นน่ะครับ ส่วนริชาร์ดก็เป็นผู้ใหญ่ใจดี มองโลกในแง่ดี ซึ่งผมมองว่ามันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะคบหาแต่งงานกับพอลลีน (Kendall Cross) ผู้หญิงที่มีจิตใจดีเช่นกัน ส่วนลูกๆ นี่ก็เป็นลูกไม้ใต้ต้นของพ่อแม่ตามออกมาเลยครับ เป็นเด็กดีหมดทุกคน

แล้วก็ตามสูตรครับ หนังมีนางเอกก็ต้องมีพระเอก ซึ่งก็คือ คริส (Andrew W. Walker) เพื่อนสนิทของครอบครัวเคนดริกส์ที่เป็นคนพาวาเนสซ่ามาส่ง แล้วเขาก็มีใจให้เธอในเวลาต่อมา ซึ่งคู่นี้ก็น่ารักไม่น้อย ต่างคนต่างก็ถูกใจในกันและกัน และยังเป็นคนดีไม่น้อยไปกว่ากัน ดังนั้นการที่ทั้งคู่จะรักกันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

My Christmas Family Tree Final Image Assets

หนังมีอะไรให้ลุ้นอยู่เหมือนกันนะครับ เมื่อผ่านกลางเรื่องไปมันจะมีปมเกี่ยวกับวาเนสซ่านี่แหละที่ทำให้เราทั้งใจหายและแอบลุ้นว่าเธอจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไป จุดนี้ยอมรับว่าตอนแรกก็เป็นห่วงครับ เพราะปมนี้ถือเป็นความลับอย่างหนึ่งของวาเนสซ่า ที่จริงๆ แล้วไม่ควรเป็นความลับ เธอควรนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับริชาร์ด แต่หนังก็เขียนบทได้ดีครับ เขียนให้วาเนสซ่าไม่มีจังหวะเหมาะๆ ในการบอกความจริงอันนี้ จนผมลุ้นนะว่าเธอจะเผยความจริงนี้ทันไหม เพราะถ้าช้าไปนี่เธอจะเสียคะแนนความน่ารักที่อุตส่าห์ปูมาทั้งเรื่อง – แล้วก็โชคดีครับที่บทหนังกำหนดให้เธอมีความจริงใจในที่สุด ในจังหวะที่ถือว่าไม่ช้าจนเกินไป

ผมมีความสุขมากครับ บอกได้เลย ในบรรดาหนังรักและหนังคริสต์มาสของ Hallmark ที่ผมได้ดูในช่วงนี้ บอกเลยว่าเรื่องนี้มาวินจริงๆ คือดูแล้วชอบ ดูแล้วรัก ดูแล้วมีความสุข จนผมอยากเอามาบอกต่อเลยครับว่าใครชอบหนังแนวนี้ล่ะก็ อย่าพลาดเรื่องนี้เชียว คือดูแล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไรครับ ยังดีกว่าที่ท่านอาจจะชอบหนังเรื่องนี้ แต่ดันพลาดโอกาสไม่ได้ดู

ใจจริงผมกะจะเอาเรื่องนี้มาดูอีกรอบในช่วงคริสต์มาสนะ คงได้บรรยากาศน่าดู แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า HBO จะคงหนังเรื่องนี้ไว้ในโปรแกรมถึงช่วงนั้นไหม – โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าถึงแฮะ

เกร็ดเล็กๆ ที่อยากบอกไว้คือ ผมเดาว่าน่าจะมีโครงการแลกเปลี่ยนที่ Walker พระเอกของเรื่องนี้ทำเอาไว้กับ Tyler Hynes พระเอกเรื่อง An Unexpected Christmas ครับ เพราะ Hynes โผล่มารับเชิญเล็กๆ เป็นพนักงานร้านกาแฟที่เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้พระนางของเรื่องนี้ (ตอนต้นๆ เรื่อง) แบบเดียวกับที่ Walker ไปโผล่แว้บๆ ในหนังเรื่องโน้นเหมือนกัน ก็ถือเป็นมุกเล็กๆ ที่คอหนัง Hallmark น่าจะยิ้มกันไม่มากก็น้อยครับ

จริงๆ พล็อตหนังเรื่องนี้ไม่ได้ใหม่อะไรครับ หนัง Hallmark ก็เอามาใช้อยู่บ่อยๆ อย่างเรื่อง Love, Lights, Holidays! (หรือ Love, Lights, Hanukkah!) ก็มาพล็อตนี้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้ปรุงรสได้เหมาะครับ ดูแล้ว Feel Good สดชื่นสดใส – ยกเว้นถ้าท่านเลี่ยนอะไรที่มันสดใสมากๆ หรือพลังบวกๆ เยอะๆ ก็อาจจะเลี่ยนกับเรื่องนี้ได้

หนังเรื่องนี้เมื่อดูแล้วมันทำให้ผมเตือนตัวเองได้อย่างหนึ่งครับ นั่นคือการเตือนตัวเองให้มีสติอยู่เสมอ ถ้าเรามีสติมากพอเราก็จะมองอะไรได้อย่างรอบด้าน คิดอะไรได้อย่างครบมุม และบางครั้งก็มองเรื่องแย่ๆ ด้วยอารมณ์ขันซะบ้าง มันอาจไม่ได้ทำให้ปัญหาลดลง แต่มันช่วยให้เราตั้งหลักได้ดีขึ้น อันจะส่งผลให้เราบริหารจัดการชีวิตได้ดีขึ้น ตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

รวมถึงมองโลกอย่างที่มันเป็นจริง มองให้เห็นทั้งเชิงบวกและเชิงลบของสถานการณ์ และเลือกที่จะหาทางพลิกสถานการณ์ให้กลายเป็นบวก แทนที่จะกระซวกเหตุการณ์ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ อันอาจจะทำให้เราตกอยู่ในชีวิตเชิงลบ

สรุปว่าหนังเรื่องนี้ สุขใจที่ได้ดูครับ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)