Comedy

The Wedding Veil Legacy (2022) มหัศจรรย์รักผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว 3

Untitled05968

แล้วหนังก็ดำเนินมาถึงภาค 3 ครับ กับ The Wedding Veil Legacy ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเพื่อนซี้ 3 สาวที่พวกเธอต่างก็ได้พบรักแท้หลังจากที่ได้ครอบครองผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวผืนมหัศจรรย์

หนนี้เป็นคราวของ เทรซี่ กู๊ดวิน (Alison Sweeney) สาวแกร่งผู้มั่นใจในตัวเอง ที่ทำงานอยู่บริษัทประมูลในมหานครนิวยอร์ค ซึ่งเธอก็รับผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวต่อมาจากเพื่อนสาวทั้ง 2 โดยหน้าที่ของเธอคือนำมันไปซ่อมเนื่องจากผ้าคลุมมีรอยขาดครับ แล้วก็ตามคาด มันนำเธอไปพบกับ นิค เซอร์ชิโอ (Victor Webster) เชฟหนุ่มที่ตอนแรกเจอนั้นเขาไม่ใคร่จะน่ารักกับเธอสักเท่าไร แต่พอเธอได้เจอเขาบ่อยครั้งมากขึ้นเท่าไร จังหวะหัวใจของพวกเขาก็เริ่มเต้นเป็นเสียงเดียวกันมากขึ้นเท่านั้น

พูดได้อย่างเต็มปากครับว่าผมชอบภาคนี้ที่สุดในไตรภาคแรก (ที่ใช้คำว่าไตรภาคแรกเพราะหนังยังมีไตรภาคที่ 2 ตามมาอีกครับ) หนังทำได้อย่างกลมกล่อมพอเหมาะพอดีคำ ช่วงต้นๆ ตอนปูพื้นอาจยังไม่เท่าไร แต่พอพระนางได้เข้าคู่กันเท่านั้นล่ะ อารมณ์โรแมนซ์แบบกำลังเหมาะก็ผุดโผล่ขึ้นตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็ว่าได้

โดยส่วนตัวผมยกให้เคมีของคู่นี้มาแรงสุดครับ คือเป็นคู่ที่น่ารักมาก และเหมาะสมกันมาก ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมชอบคาแรคเตอร์ของพวกเขาด้วยน่ะครับ อย่างนิคนี่ถือว่าเปี่ยมเสน่ห์แบบบ้านๆ คือผมว่าพระเอกใน 2 ภาคแรกนั้นดูจะมีความเป็นคุณชาย มีความเป็นคนมีฐานะอยู่หน่อยๆ พวกลีลาท่าทางและมาดทั้งหลายเลยดูติดจะรวยติดจะไฮอยู่บ้าง แต่กับนิคนี่มาในแนวบ้านๆ ครับ เป็นสุภาพบุรุษง่ายๆ ยกได้วางได้ไม่ยึดติด พูดจาตรงไปตรงมาแบบมีมารยาท เป็นผู้ชายไนซ์ๆ ที่สบายใจเวลาเจอ

และที่สำคัญคือเขาเป็นคนใส่ใจคนรอบตัวครับ ใครชอบอะไร สนใจอะไร เขาจะสังเกตและบอกได้หมด อย่างตอนเลือกภาพมาประดับในร้าน เขาก็ไม่ได้เลือกแค่ที่ตัวเองชอบ แต่เขาจะคิดถึงคุณยาย คิดถึงลูกค้า เขาบอกได้เลยว่าภาพแบบไหนที่สวย แต่คุณยายอาจไม่ชอบอะไรแบบนี้เป็นต้น และแน่นอนว่าเขาเอาใจใส่เทรซี่จนผมบอกได้เลยว่าพี่คนนี้แกน่ารักจริงๆ (ดูของที่เขาให้เธอตอนท้ายก็ได้ครับ คือมันต้องใส่ใจจริงๆ น่ะ ถึงจะทำขนาดนั้น) และยังคอยเป็นกำลังใจให้กับเธออย่างมากอีกด้วย

คาแรคเตอร์ของนิคนั้นดูเข้ากับเทรซี่ครับ เพราะเธอนั้นเป็นคนค่อนข้างจริงจัง หนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองคิด เอาง่ายๆ เลยคืออย่างเรื่องความมหัศจรรย์ของผ้าคลุมเนี่ย เธอเป็นคนเดียวที่ยังไงก็ไม่เชื่อ คือหนักแน่นในสิ่งที่คิดสุดๆ ไหนจะสาเหตุที่เธอต้องเลิกรากับคนรักเก่าอีก นั่นก็เพราะความหนักแน่นของเธอเช่นกัน (ไม่รวมตอนมีปัญหากับ 2 สาวอีกนะ) ในแง่หนึ่งก็ทำให้รู้สึกว่าเทรซี่เธอดูจริงจังจนอาจจะมากไปบ้าง หรือบางเรื่องก็อาจถึงขั้นยึดติดบ้าง จนส่งผลต่อจิตใจและความรู้สึกของเธอ แต่เมื่อเธอมาเจอกับคนง่ายๆ ใส่ใจๆ เบาๆ (แบบไม่หวิว) แบบนิค คือมันดูเป็นคู่ที่ Perfect มากน่ะครับ

คือดูแล้วเชื่อเลยน่ะว่า นิคสามารถใช้จังหวะหัวใจที่นิ่งของเขา ประสานกับใจของเทรซี่ให้เธอมีความนิ่งสงบมากขึ้นได้

Untitled05969

แล้วหนังก็เน้นย้ำประเด็นนี้ได้อย่างน่ารัก ด้วยการให้ตัวละครแวดล้อมทั้งหลายคอยแอบมอง คอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลานิคกับเทรซี่อยู่ด้วยกัน นี่แหละครับที่ผมอยากให้มี คือการใช้ประโยชน์จากบทสมทบมาเสริมอารมณ์น่ารักๆ ให้กับหนัง แม้บทสมทบต่างๆ อาจจะไม่ได้มีบทบาทเยอะแยะอะไรนักก็ตาม แต่การแอบมองแอบชูรส แอบคุยกันจุ๊กๆ จิ๊กๆ แบบนี้มันเป็นอะไรที่น่ารักดีจริงๆ ครับ แล้วก็พลอยทำให้ตัวละครเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำเรามากขึ้นโดยปริยาย

เป็นการดูหนังที่มีความสุขครับ ยอมรับเลยว่าพลังของคู่รักในเรื่องนี่มากแบบกำลังเหมาะจริงๆ ดูไปก็คอยเอาใจช่วยให้พวกเขาสมหวังในรักกัน คือจริงๆ มันก็รู้อยู่แก่ใจน่ะนะครับว่าคู่นี้ตกร่องปล่องชิ้นกันแน่นอน แต่การที่หนังสามารถทำให้เราแอบลุ้นแอบดีใจไปกับพวกเขาได้ด้วยเนี่ย แสดงว่าหนังสร้างบรรยากาศความโรแมนติกขึ้นมาได้สำเร็จ ถึงทำให้เราอินไปด้วยแบบนี้

และตามปกติผมจะบอกว่าผมชอบฉาก ชอบทิวทัศน์ ชอบดนตรีที่เสริมบรรยากาศอะไรแบบนั้นใช่ไหมครับ แต่คราวนี้ไม่แฮะ ผมกลับรู้สึกว่าเพราะความหวานน่ารักๆ ของพระนางนี่แหละที่เป็นตัวทำให้ฉากดูสวย บรรยากาศดูอบอุ่น และดนตรีดูหวาน งานนี้กลับกันเลยครับ 555

หนังยังคงกำกับโดย Terry Ingram ที่ทำหนังรักและหนังคริสต์มาสสไตล์ Hallmark มามากมาย สำหรับเรื่องนี้อย่างที่บอกว่าจุดเด่นคือคู่พระนางที่น่ารักมากๆ เมื่อมาบวกกับการคุมจังหวะในการเล่าเรื่องที่พอเหมาะแล้ว หนังเลยถือว่าออกรสครับ – แม้ผมจะเคยเขียนไว้ว่าหนัง Hallmark ระยะหลังๆ ขาดความลึกและความซึ้งไม่เหมือนสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน สำหรับเรื่องนี้จริงๆ มันก็ไม่ได้ลึกอะไรมากครับ แต่มันออกมาน่ารัก ดาราแสดงดี เนื้อเรื่องกำลังดี องค์ประกอบต่างๆ จัดว่าลงตัว จนผมยกให้นี่เป็นหนึ่งในหนัง Hallmark ยุคใหม่ที่ทำออกมาได้กลมกล่อมอร่อยลิ้นพอดีที่สุด

สำหรับฐานะหนังภาคต่อแล้ว ถือว่าสรุปเรื่องราวได้ดีครับ ภาคนี้เราจะได้รู้เกี่ยวกับผ้าคลุมมากขึ้น – คำถามสำคัญคือ “แล้วผ้าคลุมจากอิตาลีผืนนี้ เดินทางมาถึงอเมริกาได้อย่างไร?” – ซึ่งเรื่องราวส่วนที่ว่าก็ช่วยเติมเต็มหนังชุดนี้ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าท่านได้ดู 2 ภาคแรกมาก่อนหรือเปล่าน่ะครับ หากเคยดูเคยรับรู้ตำนานของผ้าคลุมนี้มาก่อนก็น่าจะอินมากขึ้นและรู้สึกกินใจมากขึ้น

ภาคนี้ผมดูทาง Netflix ครับ แต่ไม่มี 2 ภาคแรกให้ดูนะ ผมต้องไปควานหาเอาเอง พอรู้ว่าภาคนี้จะมาลง Netflix ก็ไปเอา 2 ภาคแรกมาดูก่อนที่จะดูภาคนี้ ก็เลยรู้สึกเสียดายหน่อยๆ น่ะครับ ไหนๆ Netflix เอามาแล้วก็น่าจะเอามาให้ครบ 3 ภาค คนดูจะได้สนุกและได้อรรถรสครบถ้วน – ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีปัญหาติดขัดตรงไหน อาจเป็นเรื่องลิขสิทธิ์ อาจเป็นความติดขัดบางอย่าง อันนี้ผมไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าหากเอามาให้ดูแบบครบได้ก็น่าจะดีครับ

สรุปว่าเป็นตอนสรุปจบไตรภาคที่ทำได้น่ารักครับ อาจไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบเต็มร้อย แต่มันกลมกล่อมครับ มัน Feel Good มันดูแล้วรู้สึกสุขใจ ดูแล้วทำให้เรายิ้มได้ เรื่องนี้ผมก็ดูยามเช้าครับ เป็นอีกครั้งที่ได้เริ่มวันอย่างแฮ้ปปี้ ส่งผลให้แฮ้ปปี้ต่อไปอีกทั้งวันเลยล่ะ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)