Christmas Movies

We Need a Little Christmas (2022) คริสต์มาสนี้ไม่ไร้รัก

Untitled05945

ช่วงนี้ผมกำลังเปรมครับ เพราะทั้ง Netflix และ HBO ต่างก็พากันนำเข้าหนังรักหนัง Feel Good สไตล์ Hallmark มาหลายเรื่อง ดังนั้นอย่าแปลกใจหากผมจะเขียนถึงหนังแนวนี้เยอะสักหน่อยน่ะนะครับ และ We Need a Little Christmas ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ

หนังเล่าถึงเรื่องของจูลี่ (Erica Durance) และลูกชายของเธอ แกวิน (Azriel Dalman) ที่เพิ่งย้ายบ้านมาใหม่ หลังจากเมื่อปีก่อนพวกเขาเพิ่งสูญเสียหัวหน้าครอบครัวไปครับ ทั้งจูลี่และแกวินเองก็ยังรู้สึกหม่นหมอง แม้ว่าจูลี่จะพยายามทำอะไรหลายอย่างให้แกวินรู้สึกดีแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ง่ายเลยสำหรับการก้าวให้พ้นจากความเศร้า

แล้วพวกเขาก็ได้รู้จักกับไอรีน (Lynn Whitfield) หญิงสูงวัยที่อยู่บ้านติดกัน ซึ่งเธอคนนี้นี่แหละครับที่จะมาช่วยให้แม่ลูกคู่นี้กลับมามีศรัทธาในการใช้ชีวิตอีกครั้ง

ถือว่าหนังเข้าทางผมเลยครับ เป็นหนัง Hallmark แบบที่ผมอยากดู (แต่หาดูได้ไม่ค่อยบ่อยในช่วงหลังๆ มานี่) นั่นคือหนังไม่ได้เน้นเรื่องรักโรแมนติกหวานแหวว แต่ว่าด้วยเรื่องราวของชีวิตคนที่มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา หัวใจหลักของหนังก็คือสายใยไมตรีที่แม่ลูกคู่นี้มีต่อไอรีน เพื่อนบ้านผู้หวังดี ผมชอบครับหนังแบบนี้ดูแล้ว Feel Good ดูแล้วอบอุ่นกินใจ แต่ก็ต้องว่าตามใจคิดนิดหนึ่งว่าความกลมกล่อมลึกซึ้งของหนังนั้นอาจไม่ได้มากเท่าหนัง Hallmark สมัยก่อนที่จะกินใจมากกว่านี้ แต่ผมว่าก็ยังดีน่ะครับที่มีหนังแบบนี้ออกมาให้ดูกัน มาเติมไออุ่นและความรู้สึกดีๆ ให้กับผู้ชมบ้างแบบนี้ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ประเด็นหลักของหนังก็คือคำว่ามิตรภาพนั่นแหละครับ อย่างจูลี่นั้นก็แทบจะไปไม่เป็นเหมือนกันหลังจากสูญเสียสามีไป เธอพยายามจัดการทุกอย่างทั้งเรื่องงานและชีวิตด้วยตัวคนเดียวลำพัง ซึ่งมันก็ทั้งเหนื่อยและไม่ง่าย ยิ่งสามีของเธอเป็นทั้งหุ้นส่วนงานและหุ้นส่วนชีวิต พอเขาจากไปชีวิตยิ่งเคว้งคว้างไปกันใหญ่ แต่แล้วการมาของไอรีนที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ (เพราะเธอก็เคยผ่านความสูญเสียมาก่อน) ทำให้จูลี่มีใครสักคนไว้คอยพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด และให้คำปรึกษา นั่นจึงทำให้จูลี่เริ่มตั้งหลักกับชีวิตได้อีกหน

และที่สำคัญคือไอรีนคอยช่วยเป็นเพื่อนและพี่เลี้ยงให้กับแกวินครับ ช่วยทำให้แกวินและแม่ได้เข้าใจกัน เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาประการหนึ่งน่ะนะครับที่บางครั้งระหว่างคุณแม่กับคุณลูก หลังเกิดเรื่องอะไรที่กระทบจิตใจกันขึ้นมา ก็อาจเกิดช่องว่าง อาจเกิดกำแพงระหว่างกัน บางครั้งก็ต้องให้บุคคลจากภายนอกครอบครัวนี่แหละมาช่วยเป็นคนประสานให้

ผมว่าหนังน่ารักดีครับ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าการเดินเรื่องแม้จะดูได้เพลินๆ แต่มันก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเหมือนหนังสมัยก่อน ที่หนังยุค 90 หรือต้นยุค 2000 ที่ลีลาการเล่าเรื่องมันดูเป็นธรรมชาติกว่า ดูกลมกล่อมกว่า ในขณะที่หนังยุคใหม่ของ Hallmark (ทั้งแนวนี้และแนวรักๆ) อาจดูประดิษฐ์อยู่หน่อยๆ เหมือนเป็นการเล่าไปตามสตอรี่บอร์ด เล่าเป็นฉากๆ แต่ไม่ได้มีการปรุงรสเติมอารมณ์สักเท่าไร ความลื่นไหลคล่องคอเลยยังไม่เยอะ

Untitled05946

ในแง่การแสดงผมว่าก็อยู่ในระดับโอเคน่ะครับ Dalman เป็นเจ้าหนูแกวินได้น่ารักดี ส่วน Durance อดีตโลอิส เลนจากซีรีส์ Smallville ก็รับบทคุณแม่ใจแกร่งได้โอเคเช่นกัน ในขณะที่ Whitfield นั้น ผมว่าเธอก็แสดงได้ดีน่ะครับ แต่เท่าที่อ่านบางความเห็น (ของเมืองนอก) ก็มีอยู่เหมือนกันที่ไม่ชอบการแสดงที่ดูล้นนิดๆ ของเธอ (บางคนบอกว่าเธอดูน่ากลัว ซึ่งบางมุมก็แอบจริง 555) แต่ผมก็ดูแบบพอเข้าใจในคาแรคเตอร์น่ะครับ เพราะเว่อร์หน่อยๆ อยู่ตลอด จุดนี้ก็คงแล้วแต่มุมมองครับ (แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาจจะมีตัวเลือกที่เหมาะกว่านี้สำหรับบทไอรีนครับ)

หนังกำกับโดย Kevin Fair ที่ผ่านงานหนังรักและหนัง Feel Good ของ Hallmark มาเยอะ เรื่องที่ถือเป็นระดับท็อปของเขาต้องยกให้หนังชุด Signed, Sealed, Delivered สำหรับเรื่องนี้ผลที่ได้ก็ถือว่าโอเคน่ะครับ ช่วงต้นกับช่วงกลางออกจะเรื่อยๆ อยู่บ้าง แต่ตอนไคลแม็กซ์ช่วงท้ายหนังสามารถบิ้วอารมณ์คนดูได้อย่างดี ชนิดที่หากใครบ่อน้ำตาตื้นหน่อยก็น่าจะร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งกันเลยล่ะ

โดยรวมผมถือว่าหนังทำออกมาได้โอเคครับ อาจไม่ถึงกับสุดยอดนะ แต่ดูแล้วได้อารมณ์ Feel Good ดูแล้วทำให้เราคิดถึงเพื่อนดีๆ ที่คอยห่วงใยและใส่ใจเรา คิดถึงกัลยาณมิตรดีๆ ที่เราเคยพานพบ – พร้อมคิดไปว่า การได้เจอคนดีๆ ในชีวิตนี่ถือเป็นโชคดีมากๆ อย่างหนึ่งเลยทีเดียว

และอีกอย่างที่ผมชอบคือหนังไม่พยายามยัดเยียดเรื่องรักๆ ใส่ลงมาจนเกินไป อย่างในเรื่องนี่จูลี่จะได้พบกับปีเตอร์ (Patrick Sabongui) เจ้าของร้านอาหารใจดี และทำท่าว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ที่ผมชอบก็เพราะหนังไม่พยายามเร่งรัดประเด็นนี้จนเกินไป ความรู้สึกดีๆ ของพวกเขาก่อตัวแบบพอเหมาะ ค่อยเป็นค่อยไป ดูน่ารักน่ะครับ – ยอมรับนะว่าผมแอบเป็นห่วงเหมือนกันว่าเดี๋ยวหนังจะเร่งรัดให้พวกเขาจูบกันก่อนหนังจบไหมเนี่ย ซึ่งก็ยังดีที่ไม่เป็นแบบนั้นครับ เพราะผมว่ามันจะไวไปน่ะแหละ

หนังมีแง่คิดดีๆ อย่าง “การเปลี่ยนแปลงไม่เคยง่าย แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของฉัน มันจะคุ้มค่าในระยะยาว” นี่คือคำที่จูลี่พูดหลังจากที่เธอผ่านอะไรมาหลายอย่าง ซึ่งมันก็สะท้อนความจริงได้ดีครับ จริงที่ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างมักมาพร้อมความลำบาก ไม่ลำบากมากก็ลำบากน้อย ไม่ลำบากกายก็ลำบากใจ แต่หากเราพยายามที่จะยอมรับและเรียนรู้จากมัน เราก็จะเติบโตไปกับมัน เราจะแข็งแกร่งขึ้น เหมือนได้สกิลบางอย่างเพิ่มในชีวิตน่ะครับ

การก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจไม่ง่ายครับ แต่การที่เรายึดติด ติดแหง่กอยู่กับสิ่งเดิมๆ (ที่มันต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาของมัน) แบบนั้นมันอาจทำให้เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากยิ่งกว่าก็เป็นได้ – เหมือนคำที่ว่า “เราจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนหรือฝ่ายถูกเปลี่ยน” นั่นแหละครับ – ซึ่งเป็นแง่คิดที่ควรนำมาบอกกับตัวเองเป็นพักๆ เพราะบางครั้งยามเราถูกโลกกระทำมากๆ เราก็อาจหมดแรงจนลืมไปว่า เรายังเลือกได้ว่าจะเป็นคนกุมบังเหียนชีวิตของตัวเองหรือไม่

เราอาจคุมไม่ได้ทุกอย่าง แต่อันไหนที่พอจะคุมได้ เริ่มจากอันนั้นก็ยังดีครับ (อย่างน้อยก็ “สติเรา” อย่างหนึ่งล่ะ)

เป็นหนัง Feel Good วันคริสต์มาสอีกเรื่องที่ดูจบแล้วได้รอยยิ้มครับ

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)