
อันว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบหนังเรื่องไหนนั้น มันต้องดูเองจริงๆ ครับ เพราะบางทีหนังที่คนเขาชอบกันเยอะๆ เราเองอาจกลายเป็นเฉยๆ แต่หนังที่เขาว่าธรรมดาไม่ได้สนุกอะไร อาจกลายเป็นหนังโดนใจของเราก็เป็นได้
อย่าง Christmas Takes Flight เรื่องนี้เป็นต้นครับ เท่าที่ฟังรีวิวมาส่วนใหญ่บอกว่าหนังธรรมดา แต่กลายเป็นว่าผมชอบแฮะ ถือเป็นหนัง Feel Good อารมณ์ดีในวันคริสต์มาสที่เข้าท่าอีกเรื่อง
เรื่องเริ่มต้นเมื่อสายการบินขนาดเล็กอย่างซันแดนเซอร์กำลังจะถูกซื้อไปโดยสายการบินใหญ่อย่างคอนเนอร์แอร์เวย์ส ทีนี้ เจนนี่ แบคเก็ตต์ (Katie Lowes) ลูกสาวผู้ก่อตั้งซันแดนเซอร์เลยต้องเตรียมต้อนรับแมตต์ แฮนเซ่น (Evan Williams) ซีอีโอจากคอนเนอร์ที่มาเพื่อประเมินเรื่องต่างๆ และอาจต้องมีการตัดงบลดพนักงานอีก
หนังมาตามสูตรครับ ตอนแรกเจนนี่กับแมตต์ก็ไม่ใคร่จะถูกกันนัก เข้าอีหรอบสาววุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา เจนนี่ก็รั่วบ้างโก๊ะบ้างเห็นแย้งกับแมตต์บ้าง ส่วนแมตต์ก็เอาแต่คิดเรื่องตัวเลขผลประกอบการเป็นหลักมากกว่าจะใส่ใจที่ตัวพนักงาน แต่พอเวลาผ่านไปเดี๋ยวพวกเขาก็จะค่อยๆ เข้าใจกันและกันเองนั่นแหละ
ว่าตามจริงตอนต้นๆ หนังอาจดูเรื่อยๆ อยู่ครับ แต่พลังสำคัญเลยคือ Lowes นางเอกของเราที่เธออาจจะไม่ใช่คนสวยหุ่นดีตามนิยามมาตรฐานของใครๆ นะ เธอจะออกแนวท้วมๆ เป็นสาวบ้านๆ ตามบทเธอก็ผ่านการหย่ามาแล้วและมีลูกหนึ่งคน และเธอชอบที่จะขยันทำงานมากกว่าจะมาห่วงสวย ดังนั้นใครคาดหมายจะดูหนังที่นางเอกสวยๆ หวานๆ งามๆ หุ่นดีๆ ล่ะก็ คงต้องปรับความคาดหวังครับ – ส่วนผมนี่โอเคเลยนะ ผมว่าเธอมีความน่ารักในแบบของตัวเอง อาจจะแอบโก๊ะแอบคิดมากบ้าง แต่ก็ดูโอเคไปกับคาแรคเตอร์ดี
ส่วนพระเอกอย่าง Williams ก็ถือว่าดูสมาร์ทครับ แต่นิสัยตอนแรกจะดูเย็นชาไม่น่ารักสักเท่าไร ชอบพูดอะไรผ่าซากและไม่เห็นแก่หน้าใคร ทำให้ตอนหลังๆ พอพี่แกเริ่มจะคิดถึงคนอื่นบ้าง เริ่มจะใส่ใจห่วงใยสังคมบ้าง เลยโกยคะแนนความน่ารักเพิ่มได้ไม่น้อย
และที่สำคัญคือผมว่าคู่เจนนี่กับแมตต์นี่ดูเข้ากันดีครับ เคมีไปกันได้ และเชื่อได้ว่าพวกเขารู้สึกดีต่อกันเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนหนึ่งก็ต้องชมการนำเสนอที่ค่อนข้างครบในแง่ของ “เหตุผลที่พวกเขารักกัน” คือมันจะมีฉากและมีบทสนทนาที่ค่อยๆ เชื่อมพวกเขาเข้าหากัน ค่อยๆ ลดกำแพงที่ตอนแรกทั้งสองตั้งแง่ใส่กัน ให้ทลายลงไปทีละน้อยๆ จนความต่างของแต่ละฝ่ายกลายเป็นส่วนเติมเต็มให้กันและกันในที่สุด

เหตุผลที่หนังถูกใจผมคงเพราะดูแล้วได้อารมณ์เหมือนหนังรักยุค 90 น่ะครับ โอเค ในแง่งานสร้างอาจดูเป็นหนังทีวีเยอะอยู่ และดาราอาจไม่ได้มีชื่ออะไร แต่สไตล์และจังหวะหลายๆ อย่างมันใช่ ไม่ว่าจะความรักที่ค่อยๆ ก่อตัวระหว่างพระนาง หรือบทสมทบทั้งหลายที่ต่างก็มีบทบาทและวาระของตัวเอง ไม่ได้เป็นของเครื่องประกอบฉากเท่านั้น ไม่ว่าจะแฟรงค์ (Andrew Airlie) พ่อของเจนนี่ที่แอบพบรักกับคนคุ้นเคยในเมือง หรือชาร์ลี (Erik Gow) น้องชายที่ชอบทำตัวเป็นเด็กของเจนนี่ที่กำลังระหองระแหงกับแฟนที่คบกันมา 3 ปีอย่างเมแกน (Keisha Haines) พล็อตรองเหล่านี้แทรกเข้ามาในระดับที่โอเค ทำให้หนังดูมีอะไรมากกว่าแค่เล่าเรื่องความรักของพระเอกนางเอก
แล้วหนังก็ Feel Good ใช้ได้ครับ มีเรื่องดีๆ สร้างความประทับใจอยู่เป็นพักๆ เช่น นิสัยชอบให้กำลังใจของเจนนี่ที่ช่วยให้หนูน้อยคนหนึ่งเอาชนะความกลัวในการขึ้นเครื่องบิน หรือเรื่องเที่ยวบินซานต้าที่ครอบครัวเจนนี่จัดขึ้นทุกปีเพื่อแบ่งปันความสุขให้กับเด็กๆ อะไรเหล่านี้แม้จะดูเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกใช้มาไม่รู้กี่รอบแล้วในหนังคริสต์มาสทั้งหลาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอะไรแบบนี้นี่แหละครับที่ทำให้ผมรักหนังคริสต์มาส ได้ดูเรื่องราวที่คนมอบความปรารถนาดีให้แก่กัน ยื่นมือช่วยเหลือประคับประคองกัน สร้างแรงบันดาลใจให้แก่กัน หรือเสียสละบางสิ่งเพื่อให้คนหมู่มากได้มีความสุขกัน มันอาจเป็นอะไรที่เดิมๆ แต่ก็ถือเป็นสิ่งเดิมๆ ที่ผมอยากเห็น และมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น
คงเหมือนเวลาเราเห็นมีคนจูงคนแก่ข้ามทางต่างๆ, คนหยุดรถให้คนอื่นได้ข้ามถนน หรือคนที่หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้กับคนแปลกหน้า มันคือภาพที่น่ารักน่ะครับ หรือไม่ผมก็อาจเป็นคนที่ Sensitive กับอะไรแบบนี้ เลยรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นเรื่องราวแบบนี้ ทั้งในหนังและในชีวิตจริง
ดังนั้นไม่ต้องเชื่อผมมากก็ได้นะครับ หนังเรื่องนี้อาจเป็นหนังธรรมดาในสายตาใครๆ แต่สำหรับผมมันโดนใจถูกจริตแบบพอดิบพอดี แม้มันอาจจะไม่ได้สนุกมากๆ หรือเยี่ยมยอดสุดๆ แต่ผมถือว่าหนังเรื่องนี้ทำหน้าที่สร้างความบันเทิงและทำให้ผมรู้สึกดีได้อย่างน่าพอใจ
ผมดูหนังเรื่องนี้ตอนเช้าตรู่ครับ ดูตอนออกกำลังกายหลังส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว เป็นการเริ่มต้นวันที่ดีสำหรับผม มันทำให้ผมแฮปปี้และเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ตลอดทั้งวัน เลยอยากนำเอาความรู้สึกดีๆ นั้นมาแบ่งปันบอกต่อให้กับทุกท่านครับ
สรุปอีกทีว่าหนังเรื่องนี้ดูแล้วอิ่มใจและมีความสุขครับ มันอาจไม่ใช่หนังคริสต์มาสที่สมบูรณ์อะไร แต่มันมีหัวใจดีๆ แห่งวันคริสต์มาสค่อนข้างครบ ไม่ว่าจะการแบ่งปันความรักให้แก่กัน, การเวลากับครอบครัว, การรำลึกนึกถึงผู้ที่จากไป (ในแบบสร้างกำลังใจ), การนึกถึงหัวจิตหัวใจของคนอื่่นๆ, การเรียนรู้ที่จะโตขึ้นผ่านประสบการณ์ต่างๆ, การทบทวนตัวเองและยอมรับเมื่อเราทำสิ่งใดผิดพลาดพลั้งไป (ตระหนักว่าเราไม่ถูกเสมอไป), การไขว่คว้าโอกาสต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา, การค้นหาตัวตนและสิ่งที่เราเป็นจริงๆ ทั้งหมดนี้หนังอาจไม่ได้เอามาเล่นแบบซาบซึ้งกินใจอะไรขนาดนั้นน่ะนะครับ แต่มันก็มีกลิ่นอายดีๆ อยู่ และทำให้ผมคิดถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาระหว่างดู
สองดาวกว่าๆ ใกล้ครึ่งครับ

(6.5/10)










