
ดู Paradise City ด้วยหลายเหตุผลครับ ไม่ว่าจะเพราะนี่เป็นผลงานเรื่องท้ายๆ ของป๋า Bruce Willis ก่อนที่เขาจะวางมือแบบถาวร และนี่ยังเป็นหนังที่ป๋า Bruce ได้มาเจอกับ John Travolta ด้วย (หลังจากเคยร่วมงานกันใน Pulp Fiction) – อีกอย่างก็คือ หนังมีดาราสาวจากบ้านเรา ปู ไปรยา (Praya Lundberg) ร่วมแสดงด้วยครับ
แน่นอนว่าผมไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว ดูเพื่อตามไปให้กำลังใจป๋า Bruce และป๋า John น่ะครับ เพราะตัวหนังนี่เกรดบีแบบเต็มๆ เอาแค่พล็อตนี่ก็ถือว่าคุ้นเคยมากๆ สำหรับคอหนังแอ็คชั่นเกรดบี นั่นคือมีตัวเอกโผล่เข้าเมืองมาเพื่อตามสืบหาญาติพี่น้องที่หายตัวไป ระหว่างทางเขาก็ได้เจอทั้งมิตรและศัตรู (รวมถึงนางเอก) ก่อนที่ตอนท้ายตัวละครทั้งหลายจะได้ไปชำระแค้นปิดบัญชีกัน
เนื้อเรื่องก็ตามนั้นครับ พระเอก (Blake Jenner) มาสืบเรื่องพ่อ (ป๋า Bruce) แล้วก็ได้เจอคู่หูเก่าของพ่อ (Stephen Dorff) และได้เจอนางเอกที่เป็นตำรวจสาวประจำพื้นที่ (ปู ไปรยา) ส่วนตัวร้ายคือผู้ทรงอิทธิพลระดับบิ๊กเบิ้มของเมือง (ป๋า John)
อาจเพราะผมดูหนังเกรดบีสไตล์นี้มานานมากๆ (ตั้งแต่ยุค 90) จนชิน เลยไม่รู้สึกแย่อะไรกับหนังครับ มาตรฐานหนังก็ประมาณเดียวกับหนังแอ็คชั่นเกรดบีนั่นแหละ เพียงแต่งานสร้างโปรดักชั่นหลายอย่างดูมีราคาขึ้น ที่เตะตาผมอย่างแรกเลยคือภาพวิวสวยๆ ครับ หนังจับภาพวิวป่าเขาเขียวขจีของฮาวายใส่ลงจอมาได้ในระดับที่น่าประทับใจ ทำให้ผมซึ่งชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วรู้สึกบวกกับหนังพอสมควร
และการที่ดาราส่วนใหญ่คุ้นหน้า ไม่ว่าจะป๋า Bruce, ป๋า John, Jenner (Everybody Wants Some!!) หรือ Dorff (Blade) ก็ทำให้เราโอเคกับหนังได้อยู่ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็เป็นงานน่ะครับ แสดงได้มาตรฐานแบบรู้งาน ส่วนปู ไปรยาผมว่าก็แสดงได้โอเคเหมือนกัน (เรื่องความสวยคงไม่ต้องพูดถึงน่ะนะครับ) เรียกว่าในแง่งานสร้าง (ทุนประมาณ $20 ล้าน) และดารานี่ไม่มีปัญหา

เพียงแต่ตัวบทมันอาจจะไม่ได้เข้มอะไรมากน่ะครับ ตัวเอกก็สืบกันไป บู๊กันไป หนีกันไปแล้วแต่สถานการณ์ หลายอย่างก็พอจะเดาได้ ความซับซ้อนไม่ได้เยอะอะไร โดยส่วนตัวผมเลยมองว่าหนังไม่ได้แย่ เพียงแต่ไม่ได้เด่นเป็นพิเศษเท่านั้น
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่โนเนมนะครับ เขาคือ Chuck Russell บอกชื่อไปหลายคนอาจนึกไม่ออก แต่ถ้าบอกว่าเขาคนนี้แหละที่กำกับ The Blob (เหนอะเคี้ยวโลก), The Mask ภาคแรก, Eraser แล้วก็ The Scorpion King ภาคแรก ก็น่าจะพออ๋อขึ้นมาบ้าง ซึ่งผมก็ว่าแกคุมหนังเรื่องนี้ได้โอเคในระดับหนึ่งน่ะครับ หนังไม่ได้ออกมาดูตลกหรือไก่กา แต่ก็อย่างที่บอกน่ะว่าบทธรรมดาไปหน่อย และลูกเล่นในการเล่าเรื่องก็ธรรมดาไปนิด หนังเลยอยู่ในระดับเรื่อยๆ แบบไม่ดูก็ไม่เสียดาย
ดูผมจะไม่ค่อยบ่นอะไรหนังเรื่องนี้มากนัก นั่นก็เพราะไม่รู้สึกว่ามันแย่อะไรน่ะครับ อย่างที่บอกว่าผมคงชินกับหนังแอ็คชั่นเกรดบีสไตล์นี้ รับได้มานานแล้ว ความคาดหวังระหว่างดูก็เลยปรับได้แบบอัตโนมัติ เอาเป็นว่าต้องขึ้นอยู่กับท่านน่ะครับ ถ้าท่านหมายมั่นหนังมันส์ระห่ำกระหน่ำระทึกแบบ Die Hard หรือ Face/off ล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องนี้หรอก แต่ผมว่าหนังเหมาะสำหรับคนที่คุ้นเคยกับป๋า Bruce และป๋า John แล้วก็อยากตามไปให้กำลังใจอะไรทำนองนั้นมากกว่า
ตระหนักได้ว่าพอแก่ตัวแล้ว เหตุผลในการดูหนังมันก็เพิ่มขึ้นนะครับ จากเดิมดูเพื่อความสนุกส่วนตัวอย่างเดียว ก็กลายเป็นว่ามีเหตุผลอีกแบบงอกขึ้นมา คือการดูเพื่อให้กำลังใจดาราที่เราคุ้นเคย ดาราที่เคยมอบความบันเทิงและช่วงเวลาดีๆ ให้กับเราเมื่อสมัยก่อน โดยไม่สนว่าหน้าหนังมันจะน่าดูไหม แต่ดูแบบเหมือนแวะไปหา โผล่หน้าไปเยี่ยม ดูว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง หน้าตาเปลี่ยนไปไหม สุขภาพยังดีไหม – ถ้ายังดูได้ก็ดูไป เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกต่อไป ดังนั้นวันนี้ยังพอเห็นหน้า ก็ขอแวะไปหาสักหน่อยเถอะ
ก็แปลกดีนะครับ หนังอาจไม่สนุก แต่ดูแล้วมันสุขอยู่ลึกๆ – ผสมกับความใจหาย เมื่อตระหนักว่าบางช่วงเวลาเมื่อผ่านไปแล้ว ก็ไม่อาจคืนย้อนมา
ดาวกว่าครับ

(4.5/10)
หมวดหมู่:Action, Movie Reviews, Thriller










