ภาคแรกดังก็ย่อมต้องมีภาค 2 ตามออกมา กับสมศรี โปรแกรมบีปีนี้ 2 ขวบ
ภาคนี้ดร.เบิ้ม (สุเทพ ประยูรพิทักษ์) คู่อาฆาตของอาจารย์เต๋อ (ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง) ต้องการที่จะนำสมศรี (จินตหรา สุขพัฒน์) ซึ่งเป็นหุ่นที่อาจารย์เต๋อประดิษฐ์มาเป็นของตัวเองครับ เลยมีการจ้าง 2 โจร (ธงชัย ประสงค์สันติ และ สุธีรัชย์ ชาญนุกูล) ให้ไปจับตัวสมศรีมา แต่ดันเกิดความผิดพลาดจนทำให้ดร.เบิ้มต้องไปร่วมมือกับอุดม (กลศ อัทธเสรี) และอี๊ด (ผอูน จันทศิริ) เพื่อนบ้านจอมยุ่งจากภาคแรก งานนี้เรื่องเลยวุ่นตามระเบียบครับ
ภาคนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาหลายคนครับ นอกจากที่เอ่ยชื่อไปแล้วก็ยังมี สมชาย (กฤษณ์ ศุกระมงคล) ที่สมศรีไปเจอตอนไปเที่ยวต่างจังหวัด รายนี้ก็มาพร้อมเสียงฮาและวลีประจำตัวว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมชอบบบบบ”
เรื่องราวในภาคนี้ดูมีทิศทางและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น การเดินเรื่องก็ดูลื่นไหลขึ้น โดยรวมแล้วก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ พอๆ กับภาคแรก แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยคือบทของสมศรีดูจะลดปริมาณลง โดยหนังเลือกที่จะไปเล่าเรื่องของเหล่าตัวละครหน้าใหม่มากกว่า แล้วก็เน้นเรื่องความตลกมากกว่าที่จะพยายามแทรกประเด็นดราม่าเล็กๆ แบบภาคแรก
ตอนท้ายก็มีฉากไล่ล่ากลางงานวัด ตามด้วยความชุลมุนชุลเกตามสไตล์หนังไทยสมัยนั้น แล้วก็อย่างที่บอกครับว่าพื้นที่บนจอส่วนมากจะเป็นของ 2 โจรสุดซวยกับคุณอี๊ดเสียมาก
ยอมรับว่าความชอบอาจไม่ได้มากมายอะไรครับ ดูเพื่อรำลึกความหลังมากกว่า ซึ่งก็มีหลายอย่างให้รำลึกครับ อย่างเครื่องเกมบอย เกมเกียร์, รถไอติมวอลล์สมัยนั้นก็ดูภูมิฐานกว่าสมัยนี้ ไหนจะมุกแพคลิ้งค์ส่งเสียงบี๊บๆ ตามตัว อะไรเหล่านี้เชื่อว่าเด็กยุค 90 คงจำกันได้
หลายมุกดูแล้วก็นึกถึงหนังเรื่องอื่น หรือเพลงบางเพลง เช่นมุกคนบ้ากับน็อตล้อ ก็ชวนให้นึกถึงเพลง “บ้า” ของคาราบาว ตามด้วยดนตรีประกอบที่คุ้นสุดๆ เวลามีฉากเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีในยุคนั้น
ส่วนมุก 2 โจรนั้นก็บอกตรงๆ ว่าพยายามจะไม่นึกถึง Home Alone นะ แต่ตอนท้ายเจอมุกโจรที่สวมหมวกคลุมหัวโดนไฟลวกนี่ใช่เลย มัน Home Alone จริงๆ
การดูรอบนี้ก็เห็นอะไรที่ยุคนั้นไม่ติดใจ แต่มาตอนนี้มันเกิดคำถาม เช่นฉากตอนท้ายที่ตัวละครไล่ล่ากัน ตอนวิ่งตามกันไปอันนี้เข้าใจ หรือกระทั่งตอนไปตีกันบนเวทีลิเกก็ยังพอเข้าใจ แต่ตอนที่ตัวละครหนึ่งขึ้นชิงช้าสวรรค์ แล้วตัวละครอื่นๆ ทั้งที่พยายามตามมาล่าและตามมาช่วยต่างก็ทยอยขึ้นชิงช้าสวรรค์ตามกันไป มานั่งนึกตอนนี้ก็แอบคิดครับว่า แล้วมันจะไล่กันทันได้รึ ในเมื่อนั่งชิงช้าสวรรค์คนละตัว ทำไมไม่รออยู่ข้างล่างแล้วรอจับ แบบนั้นน่าจะง่ายกว่า
ก็เข้าใจครับว่าทำให้ขำ แต่บางอย่างมันก็ไม่เมคเซ็นส์จริงๆ – แต่หนังขายขำสมัยนั้นก็แบบนี้แหละครับ เน้นจินตนาการสำคัญกว่าความเป็นไปได้ 555 – แบบบ้านผีปอบที่หนีลงตุ่มได้แบบไม่จำกัด อะไรทำนองนั้น
หากใครไม่เคยดูแล้วพอลองได้ดูแล้วจะรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่แปลกครับ เพราะโทนของหนังมันก็ตามยุคตามสมัย สำหรับสมัยโน้นถึงว่าหนังสนุกแล้วล่ะ แต่ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็อาจต่างกัน – เหมาะสำหรับดูเพื่อรำลึกความหลังเป็นหลักครับ แต่ถ้าดูเอาเรื่องเอาราวก็ต้องปรับใจนิดนึงครับ
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังไทย (Thai Movies), Comedy, Family, Sci-Fi