
ที่ผมเขียนนี่ เขียนหลังจากดูหนังเรื่องนี้เป็นรอบที่ 2 ครับ เหตุผลที่ไม่ได้เขียนตั้งแต่ตอนดูรอบแรกก็คงเพราะผมไม่โอกับหนังเท่าไร คือไม่ชอบในบางสิ่งและไม่โอในบางอย่างน่ะครับ แต่ถ้าว่ากันโดยรวมหนังก็ยังมีจุดดีของมัน เพียงแต่มันควรจะดีได้อีกเท่านั้นเอง
ภาคนี้เล่าเรื่อง 6 เดือนหลังจากภาคก่อน หลังจากเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (Johnny Depp) โดนจับกุมและกำลังจะถูกส่งตัวไปที่อื่น แต่กลายเป็นว่ากรินเดลวัลด์แหกคุกออกไปได้ และเริ่มก่อการเกณฑ์เหล่าผู้วิเศษที่ศรัทธาเขามาร่วมกันเปลี่ยนโลก ให้เหล่าผู้วิเศษได้เป็นผู้ครองโลกนี้ แต่ก็แน่ล่ะครับว่าย่อมมีคนไม่เห็นด้วยกับเขา หนึ่งในนั้นก็คืออัลบัส ดัมเบิลดอร์ (Jude Law) แต่เนื่องจากดัมเบิลดอร์ไม่สามารถปะทะกับกรินเดลวัลด์ตรงๆ ได้ เขาเลยต้องขอแรงให้นิวท์ สคามันเดอร์ (Eddie Redmayne) ช่วยขวางแผนการของกรินเดลวัลด์
พูดแบบเข้าเรื่องเลยนะครับ งานโปรดักชั่นน่ะไว้ใจได้ งานสร้างก็มาพร้อมทุนระดับ $200 ล้าน ดังนั้นพวกงานฉาก CG อะไรต่างๆ น่ะหายห่วง หรือจะเหล่าดาราที่คัดมาก็ถือว่าเหมาะกับบท นอกจากที่เอ่ยไปแล้วก็ยังมี Dan Fogler กลับมาเป็น เจค็อบ โควอลสกี้ คนทำขนมผู้แสนซื่อ, Katherine Waterston ในบททีน่า โกลด์สตีน, Alison Sudol เป็น ควีนนี่ น้องของทีน่าและคนรักของเจค็อบ และ Ezra Miller กลับมาเป็น ครีเดนซ์
บวกด้วยตัวละครใหม่อย่างธีซีอุส สคามันเดอร์ (Callum Turner) พี่ของนิวท์, ลีต้า เลสแตรงจ์ (Zoë Kravitz) คนรักปัจจุบันของธีซีอุสที่มีอดีตกับนิวท์ และนากินี (Claudia Kim) ที่แฟนแฮร์รี่คงทราบดีกว่าต่อไปเธอคนนี้จะกลายเป็นอะไร
งานสร้างดีครับ ทีมดาราก็แกร่ง Law ก็เหมาะกับบทดัมเบิลดอร์ตอนหนุ่ม และ Depp ก็ดูขลังมากในบทกรินเดลวัลด์ ดนตรีโดย James Newton Howard ก็ถือว่าได้ระดับ และว่าตามจริงพล็อตก็มีอะไรให้ติดตามอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องของกรินเดลวัลด์ที่จะเปลี่ยนโลก หรือการไขปริศนาตัวตนที่แท้จริงของครีเดนซ์ว่าเขาคือใครกันแน่ เพียงแต่ส่วนที่พร่องไปหนักๆ เลยคือการเล่าเรื่องครับ มันไม่น่าติดตามสักเท่าไร
หนังเหมือนเล่าไปเรื่อยๆ น่ะครับ ครึ่งแรกนี่คือถ้าถามว่าดูแล้วเข้าใจไหม ก็ตอบได้ว่าพอเข้าใจอะไรๆ นะ แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนมันไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนหนังเน้นบอกข้อมูล แต่การเชื่อมฉากต่อเรื่องมันยังไม่เนียน การเล่ามันยังไม่กลมกล่อม ยังไม่ชวนติดตามมากนัก ต้องรอจนตอนท้ายโน่นน่ะครับ ตอนที่ลีต้าเผยปริศนาประวัติของตระกูลเธอ เรื่อยมาจนถึงการมาของกรินเดลวัลด์ ช่วงหลังนี่ค่อยดูสนุกขึ้นมาหน่อย

ดังนั้นปัญหาของหนังมันอยู่ตรงการเล่าเรื่องนะครับ ที่ไม่ได้สนุกนัก ไม่ได้ชวนติดตามนัก จริงๆ ก็พอเข้าใจนะว่าพล็อตมันก็ดาร์กขึ้น แต่ Harry Potter เล่ม 5 – 7 พล็อตก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่หนังก็ยังเล่าให้สนุกได้ อันนี้โดยส่วนตัวมองว่าสมัย Harry Potter นั้น J.K. Rowling มีเวลาอยู่กับมันเยอะกว่ามากน่ะครับ เธอได้ใคร่ครวญครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน ได้ตกผลึกลงลึกจมลงไปในโลกของ Harry ทำให้เรื่องราวใน Harry มันเต็มไปด้วยรายละเอียดให้จับมาเล่าและจับมาเล่น แต่กับชุด Fantastic Beasts นี่ผมว่าเธอยังไม่ตกผลึกขนาดนั้น โลกของ FB ยังไม่ถูกเซ็ตจนเด่นชัดเท่าโลกของ Harry เลยทำให้โลกของ FB ที่เราเห็นบนจอยังไม่แน่นเท่า ทั้งในเรื่องบทและเรื่องบรรยากาศ
หนังยังคงกำกับโดย David Yates ซึ่งบอกตรงๆ ว่าดูหนังเขามาทุกเรื่อง (ซึ่งก็เป็นหนังในจักรวาล Harry เกือบทั้งสิ้น เว้น The Legend of Tarzan ไว้เรื่องนึง) ผมว่าผมยังไม่เห็นลายเซ็นต์ชัดๆ ของเขาเลยนะ และโดยส่วนตัวผมว่าผลงานของเขาจะออกมาดีหรือไม่ ส่วนสำคัญคือบทนั่นแหละครับ ถ้าบทแน่นทิศทางแกร่งหนังก็จะออกมาดี ซึ่งกับเรื่องนี้ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ บทคงยังไม่กลมกล่อมพอ – อะไรที่แกร่งก็จะดูแกร่งไปเลย อย่างตอนไคลแม็กซ์นั่น แต่ถ้าอะไรที่ยังอ่อนมันก็จะอ่อนจนสัมผัสได้
พูดแบบตรงๆ ตอนดูรอบล่าสุดนี่ ช่วงครึ่งแรกของหนังนี่ผมหลับนะครับ เลยต้องกรอดูใหม่ ซึ่งก็เกือบหลับเหมือนกัน เพราะมันออกแนวเรื่อยๆ จนผมยังคิดเลยว่าไม่รู้จะดูรอบ 3 อีกเมื่อไร กลายเป็นว่า Harry นี่ ผมดูได้ไม่จำกัดรอบเลยนะ ดู 8 ภาคเรียงกันได้ไม่มียั่น แต่กับ FB นี่ ภาคแรกโอเค แต่ภาคนี้นี่เฉยจริงๆ หรือไม่ถ้าจะดูก็คงกรอไปตอนท้ายเลยน่ะครับ 555
ในแง่รายได้ภาคนี้ก็ยังถือว่าโอเคอยู่ ทำเงินทั่วโลกไป $655 ล้านซึ่งก็จัดว่าน้อยแล้วสำหับจักรวาลนี้ แต่กลายเป็นว่าภาคต่อไปได้น้อยกว่า ทำเอาแผนการสร้างหนังชุดนี้ต้องหยุดชะงักกันไปเลย
ก็ตามนั้นครับ หนังพร่องความสนุก พร่องความน่าติดตาม ขาดความกลมกล่อม ในขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ถือว่าดี
สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Adventure, Family, Fantasy, Movie Reviews










