หนังย้อนยุคสไตล์นี้ ต้อง Ridley Scott ครับ
เรื่องราวย้อนไปในยุคอัศวิน เมื่อเซอร์ฌอง เดอ คารูจ (Matt Damon) ตัดสินใจท้าดวลถึงตายกับฌาคส์ เลอ กรี (Adam Driver) เนื่องจากมาร์การิท (Jodie Comer) ภรรยาของเซอร์ฌอง ถูกฌาคส์ เลอ กรีขืนใจ แต่ฌาคส์ไม่ยอมรับความผิดนี้ การท้าดวลเพื่อให้พระเจ้าพิพากษาตัดสินความบริสุทธิ์จึงเกิดขึ้น
สิ่งแรกที่รู้สึกต่อหนังเลยก็คือ “เห็นใจ” ครับ ยอมรับว่าเห็นใจทีมงานผู้สร้างมากๆ เพราะหนังไม่ทำเงิน ลงทุนระดับ $100 ล้านครับ แต่ทำเงินในบ้านไปเพิ่งจะ $10 กว่าล้าน รวมรายได้ทั่วโลกตอนนี้ก็เพิ่งจะ $30 ล้านหน่อยๆ – แต่ขณะเดียวกันก็พอเข้าใจครับว่าสมัยนี้แล้ว หนังแนวนี้ถ้าไม่เจ๋งจริงๆ ก็ขายยากอยู่
ว่าแต่หนังเป็นอย่างไรบ้าง? อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ หากใครชอบหนังย้อนยุคอัศวินแบบนี้ก็น่าลองลิ้มอยู่ แต่หากใครไม่สันทัดกับหนังแนวนี้ ประมาณว่าดูทีไรเบื่อทุกที หรือเคยดูหนังอย่าง Kingdom of Heaven หรือ Robin Hood (เวอร์ชั่น Scott นะครับ) แล้วรู้สึกเฉยๆ ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงครับว่าท่านอาจเฉยกับหนังเรื่องนี้
สำหรับผมนั้น ผมโอเคกับหนังแนวนี้อยู่แล้วครับ ดูแล้วก็รู้สึกชอบในระดับหนึ่ง พลังสำคัญของหนังอยู่ที่การแสดงดีๆ ของ 3 ดารานำ ซึ่งหนังเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงฝีมือในหลายระดับครับ เพราะเทคนิคการเล่าเรื่องมาในสไตล์ Rashomon เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของ 3 ตัวเอก ซึ่งอาจไม่ใช่เทคนิคที่สดใหม่ แต่ก็เหมาะกับเรื่องครับ พอดูครบ 3 มุมก็ทำให้เรามองอะไรๆ ได้ชัดขึ้น
ถ้าถามว่าหนังสนุกไหม ก็คงต้องบอกว่าหนังไม่ได้มีความสนุก ระทึกหรือตื่นเต้นเพราะหนังไม่ได้เน้นเรื่องการต่อสู้ ไม่ได้มีการขับเคี่ยวเฉือนคมระหว่างตัวละคร และขณะเดียวกันเนื้อหาก็ไม่ถึงกับเข้มข้นหรือพลิกผันไปมาครับ เพราะจริงๆ เราจะได้รู้เรื่องราวโดยรวมตั้งแต่ 20 นาทีแรกแล้ว ที่เหลือก็คือการดูแบบลงรายละเอียด ดูพฤติการณ์และมุมมองของตัวละคร ดังนั้นถ้าจะดูเอาสนุกแบบบันเทิงล่ะก็ หนังคงไม่ตอบโจทย์ครับ แต่หากจะดูเอาเนื้อหาสาระล่ะก็ หนังก็มีให้ครับ เป็นสาระที่สะท้อนมิติของมนุษย์ สะท้อนความจริงของสังคมโลก
====================
====================
ถัดจากนี้จะมีการสปอยล์ล่ะนะครับ
ไม่อยากทราบไม่ควรอ่านต่อครับ
====================
====================
จริงที่หน้าหนังว่าด้วยเรื่องของศักดิ์ศรีนะครับ ทว่ามันไม่ใช่การเชิดชูศักดิ์ศรีแบบที่ดูแล้วจะทำให้เราฮึกเหิมอะไรแบบนั้น แต่มันคือการวิพากษ์สังคมเละๆ ที่มีเรื่องศักดิ์ศรีเป็นดั่งผักชีโรยหน้าเสียมากกว่า
เราจะเห็นว่า 2 ตัวนำชายในเรื่องพยายามปกป้องศักดิ์ศรีต่อหน้าสาธารณชนกันอย่างเต็มที่ ถึงขั้นรับคำท้าดวลถึงตายซึ่งกันและกัน ทำประหนึ่งว่าพวกเขามีศักดิ์ศรีที่ต้องรักษาแบบสุดชีวิต แต่เอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาทำนั้นหาได้มีศักดิ์ศรีอยางแท้จริงไม่
ฌาคส์ เลอ กรี ชัดเจนครับว่าขืนใจมาร์การิท เอาเข้าจริงศักดิ์ศรีของเขามันได้หายไปแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังปกป้องหน้าตาและเกียรติปลอมๆ ของตนต่อไป – ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าตนทำสิ่งผิด
เซอร์ฌอง เดอ คารูจ อาจจะท้าดวลถึงตายเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี แต่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อภรรยาก็หาใช่สิ่งที่เหมาะควร เขาไม่ได้มองภรรยาอย่างให้เกียรติ แต่เขามองนางในฐานะวัตถุสิ่งของ เป็นของที่เป็นของเขา และการที่เขาโมโหโกรธาในเรื่องนี้ก็เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตนถูกหมิ่นเกียรติ มากกว่าจะทำไปเพื่อปกป้องภรรยา
และที่น่าสลดตามไปติดๆ คือคนชั้นชนปกครองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ปิแอร์ (Ben Affleck) หัวหน้าของฌาคส์ เดอ กรีแทนที่จะเป็นดั่งผู้นำนำทางคนในปกครองให้ไปสู่ทางที่ถูกต้องเหมาะควร กลับเป็นพวกรักสนุก เสพสุรานารี ตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวมากกว่าจะดูแลคนใต้ปกครองให้อยู่ดีมีสุข ครั้นพอลูกน้องทำเรื่องผิดก็ยังคิดปกปิดเพื่อปกป้องไว้ซึ่งเกียรติและหน้าตาของตน
ท่ามกลางศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างชาย 2 คน แต่สิ่งที่เราได้เห็นในสังคมที่พวกเขาอยู่นั้นกลับเป็นอะไรที่เละเทะ สังคมดำเนินไปท่ามกลางโลกแห่งการรรักษาผลประโยชน์ของคนแต่ละกลุ่ม และอีกเรื่องที่น่าเศร้าคือในยุคนั้นผู้หญิงเป็นเหมือนดั่งวัตถุครับ สำหรับสามีแล้วภรรยาก็คือเครื่องผลิตทายาท คือเครื่องเสริมเกียรติเสริมหน้าตา เป็นเหมือนสินในกองทรัพย์เพื่อเชิดหน้าชูตาตน หลายครั้งก็เป็นเหมือนสิ่งของที่สามีจะทำอะไรยังไงก็ได้
หรือในสายตาของผู้ชายมากหลาย ผู้หญิงก็เป็นเหมือนเครื่องชูใจ บ้างก็เป็นแค่เครื่องบำเรอความใคร่เป็นครั้งคราวเท่านั้น – อะไรพวกนี้ถือเป็น Ugly Truth ครับ ฟังแล้วรู้สึกว่ามันน่าเกลียดแต่มันก็เป็นเรื่องจริง – และยุคนี้ อะไรแบบนี้ก็ยังมีอยู่ครับ
การที่ผู้หญิงถูกกดขี่จากผู้ชายก็ว่าแย่แล้ว แต่ที่น่าเศร้ากว่าคือในสังคมที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ คอยชี้ทิศกำหนดทางให้กับค่านิยมและธรรมเนียมปฏิบัติของสังคม หลายครั้งมันก็ส่งผลหล่อหลอมให้ผู้หญิงด้วยกันพลอยเป็นไปกับเขาด้วย บ้างก็เป็นฝ่ายยอมเงียบไม่คิดขัดขืนหรือส่งเสียงโต้ตอบ บ้างก็ทับถมผู้หญิงด้วยกันแทนที่จะคอยช่วยเหลือ ให้กำลังใจ หรืออย่างน้อยลองไตร่ตรองก่อนจะเชื่อตามกระแสก็ยังดี
อะไรเหล่านี้อาจเป็นเรื่องปกติในหลายยุคสมัยและในหลายสังคม แต่สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือ อะไรแบบนี้ยังควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องปกติต่อไปอีกหรือไม่? มันเป็นเรื่องที่ควรยอมรับจริงๆ หรือ?
หนังอาจย้อนยุคครับ แต่ขณะเดียวกันสาระของหนังก็สะท้อนความจริงที่ยังสะเทือนโลกปัจจุบันได้อยู่ ตราบใดที่เรื่องทำนองนี้ยังเกิดขึ้นในสังคม ตราบนั้นการทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่ควรถึงจุดสิ้นสุด – ประวัติศาสตร์ควรสอนให้เราเติบโต มิใช่ย่ำอยู่กับที่ – อะไรดีก็รักษาไว้ อะไรไม่ดีก็ควรปรับปรุงแก้ไข
และอีกสิ่งที่หนังกระซิบบอกไว้คือ ผู้หญิงก็ควรยืดหยัด ไม่ปล่อยให้ผู้ใดมากดตนเองไว้ หรือต่อให้ใครดูแคลนเรา เราก็อย่าเผลอดูแคลนตนเองครับ
นี่จึงเป็นหนังว่าด้วยศักดิ์ศรี ที่กระเทาะศักดิ์ศรีอย่างเปลือกๆ ได้อย่างน่าสนใจ การกำกับของ Ridley Scott ถือว่าดีตามมาตรฐาน งานโปรดักชั่น บรรยากาศ อารมณ์ต่างๆ ถือว่าพาเราไปสัมผัสกับยุคอัศวินได้อย่างน่าพอใจ
ฝีมือการกำกับของเขากับหนังแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่กังขาครับ ที่เหลือก็แค่ว่าเนื้อหาจะเข้มข้นน่าติดตามมากน้อยเพียงไหน ซึ่งก็อย่างที่ว่าไปครับว่าหนังกระเทาะเปลือกของคำว่าศักดิ์ศรี แต่ในแง่การเดินเรื่องอาจไม่เร่งเร้าอะไร เป็นการนำเสนอไปเรื่อยๆ ให้คนได้รับรู้ความจากทั้ง 3 ฝ่าย ได้เห็นชะตากรรมลงเอย แล้วที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้คนดูเก็บกลับไปคิดว่าหนังเรื่องนี้สอนใจเราในเรื่องใด
บทหนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากหนังสือของ Eric Jager ส่วนคนที่ดัดแปลงก็คือ Matt Damon และ Ben Affleck ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมเขียนบทอีกครั้งของทั้งคู่ หลังจากเคยกอดคอกันประสบความสำเร็จมาแล้วจาก Good Will Hunting โดยคราวนี้ได้ Nicole Holofcener มาร่วมดัดแปลงบทด้วยอีกคน เธอคนนี้รับผิดชอบบทในส่วนของความคิดและจิตใจของตัวละครฝ่ายหญิงโดยเฉพาะครับ ซึ่งรายนี้ก็เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้วครึ่งหนึ่งจาก Can You Ever Forgive Me?
การแสดงของ 3 ดารานำคือพลังสำคัญครับ Damon ดูเป็นอัศวินที่คิดถึงแต่ตนเอง (ตามแบบฉบับของอัศวินมากหลายในยุคนั้น) และหลายครั้งก็ขับดันชีวิตตนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ส่วน Driver ก็ดูเป็นขุนนางเจ้าเสน่ห์ หลงตัวเอง จริงๆ เขาดูเหมือนจะมีหลักการของตนเองและยังเป็นคนประเภทรู้หนังสือ แต่เมื่อถูกเจ้านายและคนรอบตัวหล่อหลอมในทางที่ผิด เขาก็เลยเดินทางผิด (เพราะคิดว่ามันเป็นวิถีปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน) ในที่สุด
Comer ถือว่าเด่นทีเดียวครับ เธอสามารถแหวกวงล้อมดาราชายทั้งหลาย สร้างบทที่น่าจดจำขึ้นมาได้ ในหลายๆ ฉากก็ดูแกร่งเหนือชาย บางฉากก็ดูน่าเห็นใจ (โดยเฉพาะฉากถูกกระทำการขืนใจ) และในหลายวาระเธอก็สามารถถ่ายทอดตัวตนความเป็นหญิงที่สามารถบริหารอารมณ์และเหตุผลได้ดีกว่าชายทั้งหลาย – Comer ถือว่าเป็นดาราอีกคนที่น่าจดจำในระยะหลังมานี้ครับ ก่อนหน้านี้ก็แสดงได้ดีใน Free Guy มาเรื่องนี้ก็ถือว่าน่าจดจำอีกเช่นกัน
Affleck ตอนแรกจะมาแสดงเป็นฌาคส์ เลอ กรีครับ แต่พอ Driver มาแคสแล้วดูเหมาะกว่า Affleck จึงตัดสินใจขยับตัวเองมาแสดงเป็นปิแอร์ คนชนชั้นผู้ปกครองที่จริงๆ ก็มีความรู้ และดูเหมือนจะมีความคิดอ่านมากกว่าคนทั่วไป แต่แทนที่จะใช้มันในทางสร้างสรรค์ เขากลับมัวเมาในอำนาจ ใช้มันตักตวงความสุขไม่เว้นวัน แล้วก็ใช้ความรู้ความฉลาดคอยเอาเปรียบคนอื่น ยกตนข่มคนอื่น หรือไม่ก็ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง – ผู้นำแบบนี้อยู่แห่งหนใด ชาวบ้านทุกข์ใจถ้วนหน้า
หนังกำกับภาพโดย Dariusz Wolski ที่โตมาจากสายมิวสิกวีดีโอครับ เขาเคยเข้าชิงออสการ์จาก News of the World แล้วระยะหลังนี่ก็ทำงานคู่บุญกับ Scott ไม่ว่าจะ Prometheus, Exodus: Gods and Kings, The Martian, Alien: Covenant, All the Money in the World และล่าสุด House of Gucci สำหรับเรื่องนี้จุดเด่นของงานภาพคือโทนบรรยากาศของเรื่องเล่าแต่ละคนที่จะมีความแตกต่างครับ
อย่างตอนที่เซอร์ฌองเล่าเรื่อง บรรยากาศโดยรอบจะอึมครึม ฟ้าครึ้มทั้งวันทั้งคืน สะท้อนถึงชีวิตที่มีแต่เรื่องสู้เรื่องรบ เรื่องศักดิ์เรื่องศรี สนใจแต่เรื่องของตนและความต้องการของตัวเอง ในขณะที่บรรยากาศตอนที่มาร์การิทเล่าเรื่องนี่ ท้องฟ้าจะดูสว่าง คนดูจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาบ้าง ซึ่งก็สะท้อนมุมของมาร์การิทที่ใช้ชีวิตตามประสาอิสตรี เธอสนใจสิ่งรอบข้าง ใส่ใจคนรอบตัว ซึ่งก็ดูเป็นวิถีชีวิตที่ตัดกันกับเซอร์ฌองได้อย่างน่าสนใจ
อดคิดไม่ได้ว่าชีวิตคู่ของใครหลายคน จะมีบรรยากาศในชีวิตแตกต่างกัน แม้จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบนี้บ้างหรือไม่
ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่เหมาะสำหรับคอแนวนี้ครับ ทำออกมาได้มาตรฐาน อาจไม่ถึงกับเด็ดขาดสุดยอดแต่ก็ถือว่าน่าพอใจสำหรับหนังโทนย้อนยุคอัศวิน – อย่างน้อยหนังก็กระเทาะคำว่าศักดิ์ศรีได้น่าคิดดี
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Drama, History, Thrillers