วันนี้ (หมายถึง วันที่ผมเขียนนี่น่ะนะครับ) คือวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ครับ เป็นประเพณีปกติของผมที่จะนำเอาหนังแนวฟีลกู้ดวันคริสต์มาสมาเปิดดูเพื่อเรียกรอยยิ้มและทำให้หัวใจอบอุ่นต้อนรับวันคริสต์มาส และหนังเรื่องแรกที่ผมคว้ามาดูก็คือเรื่องนี้ครับ
ช่วงหลายวันมานี้ผมนึกถึงหนังเรื่องนี้เป็นระยะๆ ว่าตามจริงนี่ไม่ใช่หนังที่ผมชอบแบบมากมายอะไรครับ แต่มันเป็นหนังที่มาพร้อมตอนจบที่อบอุ่นหัวใจ จนทำให้ผมอดนึกถึงหนังเรื่องนี้ไม่ได้ ยามที่คิดถึงหนังที่มีเนื้อหาดีๆ และมีเรื่องราวอบอุ่นกินใจ
หนังว่าด้วยเรื่องวุ่นๆ ของ นีล เพจ (Steve Martin) ที่ทำงานในเมืองใหญ่ แล้วก็จะต้องรีบเดินทางกลับบ้านให้ทันวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ตามที่ได้ให้สัญญากับครอบครัวไว้ แต่ทีนี้การเดินทางกลับบ้านของเขาก็เจอสารพัดวิบากกรรมครับ ตั้งแต่รถติด เครื่องบินยกเลิกไฟลท์ แต่วิบากกรมไหนๆ ก็ไม่หนักกบาลเขาเท่ากับการที่ต้องมาเจอกับนายเดล กริฟฟิธ (John Candy) เซลส์แมนร่างอ้วนที่สร้างความป่วนให้ชีวิตนีลได้แบบตลอดๆ ซึ่งจริงๆ เดลก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ อันที่จริงเขาเป็นคนดีและมีน้ำใจด้วยซ้ำ แต่เผอิญว่าความปรารถนาดีของเดลบางทีก็มาเกิน หรือเยอะเกิน จนทำให้การกลับบ้านครั้งนี้ของนีลโคตรจะทุลักทุเล
ก็เป็นหนังแนว Road Movie เบาสมองที่ดูได้เพลินๆ อีกเรื่องครับ จุดเด่นของหนังก็หนีไม่พ้นการประชันบทบาทระหว่าง 2 ดาราตลกรุ่นใหญ่ นั่นคือ Martin กับ Candy ซึ่งพวกเขาก็เข้าคู่กันได้เหมาะครับ คนหนึ่งก็ขี้รำคาญ ส่วนอีกคนก็หน้าซื่อตาใสแต่ขยันก่อเรื่อง ก็ถือเป็นหนังสูตรสำเร็จอีกเรื่องที่ทำออกมาได้สนุก เพียงแต่มันอาจจะไม่ถึงกับฮาแตกอะไรมากครับ
ว่าตามจริงผมเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้วรอบหนึ่งครับ และสารภาพเลยว่าผมก็ไม่ถึงกับชอบหนังมากมายเท่าใดนัก คือไม่ใช่หนังไม่สนุกนะครับ ผมว่าหนังทำออกมาได้สนุกและเพลินในระดับหนึ่ง เพียงแต่ยังมีหนังเรื่องอื่นๆ ของ Martin และ Candy ที่ทำออกมาได้ฮาลื่นและสนุกกว่านี้ แต่จุดที่ทำให้ผมหันมาชอบหนังเรื่องนี้ก็คือโค้งสุดท้ายของเรื่องครับ ตอนที่นีลเดินทางมาถึงชิคาโก้แล้ว และจะต้องแยกทางกับเดล ซึ่งช่วงท้ายนี่แหละครับที่หนังมาพร้อมความอบอุ่นและฟีลกู้ดแบบที่ผมเองก็คาดไม่ถึงทีเดียว
หนังกำกับและเขียนบทรวมถึงอำนวยการสร้างโดย John Hughes ครับ รายนี้ถือเป็นเจ้าพ่อหนังวัยรุ่นแห่งยุค 80 เลยก็ว่าได้ เพราะหนังที่เขาทำมักจะนำเอาเรื่องราวชีวิตวัยรุ่นมาบอกเล่าได้อย่างมีแก่นสารและน่าสนใจ (ซึ่งจะต่างจากหนังวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ถ้าไม่เน้นฮาจนเลอะ ก็จะเน้นเรื่องเพศจนเกร่อ) ในขณะที่หนังเรื่องนี้จะว่าฉีกจากแนวเดิมๆ ของ Hughes ก็คงได้ครับ เพราะเป็นเรื่องแรกที่เขาหันมาจับเรื่องของผู้ใหญ่ และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกว่าบางช่วงบางตอนของหนังยังไม่สุด หรืิอไม่ก็ดูหวิวๆ ไปสักนิด แต่ยังดีครับที่หนังมีช่วงสุดท้ายเป็นหมัดเด็ด ที่สามารถทำให้เรารู้สึกอินไปกับตัวละคร และทำให้เรื่องผจญภัยแสนวุ่นวายตั้งแต่ต้นจนจบดูมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิม
พอลองมานึกๆ ดูแล้ว จุดที่ผมรู้สึกว่าหนังพร่องไปคือการแลกเปลี่ยนแง่มุมชีวิตของตัวละครน่ะครับ ในขณะที่หนังเรื่องก่อนๆ ของ Hughes เราจะได้เห็นและได้ยินตัวละครมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต มาบอกเล่าถึงเรื่องที่พวกเขาเคยเจอ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราอินไปกับตัวละครแล้ว ยังถือว่าเราได้สาระของชีวิตติดหัวกลับมาขบคิดหลังดูจบด้วย ในขณะที่เรื่องนี้จะไม่ค่อยมีอะไรแบบนั้นสักเท่าไร ซึ่งจริงๆ ผมก็เข้าใจนะว่าตอนเดินเรื่องระหว่างทางน่ะจะให้ตัวละครมาเปิดเผยชีวิตตัวเองมากมันก็อาจจะไม่ได้ เพราะมันจะมีผลต่อตอนจบ มีผลทำให้ตอนจบอาจจะไม่พีคอย่างที่เป็น ซึ่งอะไรแบบนี้ก็คงต้องเลือกแบบได้อย่างเสียอย่างน่ะครับ และหนังก็เลือกที่จะไม่ลงลึกตัวละครในตอนกลางๆ เพื่อที่จะได้ให้เรามาพีคเอาตอนท้ายแทน
สำหรับการดูหนังเรื่องนี้รอบสองของผม ผมก็อาจจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าเดิม แต่มันดูด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นมากขึ้นน่ะครับ เพราะเรารู้แล้วว่าปมของตัวละครในเรื่องนั้นคืออะไร เลยทำให้เราเข้าใจในพฤติกรรมที่บางทีก็ชวนรำคาญของบางตัวละคร ว่าแม้มันจะดูเยอะๆ ล้นๆ และน่าคำราญ แต่มันก็แฝงความหมายบางอย่างไว้ หรือไม่ก็เป็นการเยอะๆ ล้นๆ เพื่อปกปิดความปวดร้าวบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ
ประโยชน์อย่างหนึ่งของการดูหนังเรื่องนี้คือสอนให้เราไม่ด่วนตัดสินคนครับ เราอาจจะรู้สึกว่าคนนั้นไม่ดีตั้งแต่แว่บแรกที่เห็น แต่แท้จริงแล้วท่ามกลางพฤติกรรมไม่ดีที่คนๆ นั้นแสดงออกมา อาจเป็นกลไกป้องกันตัวทางจิตใจบางอย่าง และคนผู้นั้นอาจต้องการให้ใครสักคนหันมาเข้าใจเขา เพียงแต่เขาไม่รู้วิธีที่จะแสดงออกอย่างถูกต้องเหมาะสม (หรือบางคนอาจจะรู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะเหมาะ แต่กลับไม่กล้าที่จะทำ หรือเลือกที่จะไม่ทำ)
ถือเป็นหนังเบาสมองที่ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ สำหรับผมนี่แค่ดู Martin มาเจอกับ Candy นี่ก็สนุกแล้วล่ะ แม้การเดินเรื่องอาจจะยังไม่โดนใจเสียทั้งหมด แต่หากดูกันแบบองค์รวมแล้ว หนังถือว่าทำออกมาตอบโจทย์ความบันเทิงได้ดีครับ และที่สำคัญคือหนังมาพร้อมบทสรุปที่ดี บทสรุปที่อาจจะทำให้เราย้อนมองไปเมื่อวันวาน ว่าเราเคยพบเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือทางจิตใจแต่เขาปกปิดมันไว้ด้วยพฤติกรรมอันไม่น่ารักหรือไม่
ถ้าจะมีสิ่งใดที่สามารถเข้าใจจิตใจของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนได้… ก็คงมีแต่ “คน” ด้วยกันเท่านั้นล่ะครับ
ดังนั้นถ้า “คน” เลือกที่จะมองข้าม “คน” ด้วยกันแล้ว… โลกของเราคงมีบรรยากาศที่หม่นหมองและเหี่ยวเฉาน่าดู
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Drama