Action

มังกรหนุ่มคะนองเลือด (1976) New Fist of Fury

Untitled04430

เรื่องนี้อาจถือได้ว่าเป็นภาคต่อของ ไอ้หนุ่มซินตึ๊งล้างแค้น (Fist of Fury) ที่ Bruce Lee แสดงนำเอาไว้ครับ โดยเรื่องนี้ได้ เหมียวเข่อซิ่ว (Nora Miao) กลับมารับบทนำ เนื้อเรื่องก็เล่าถึงแผ่นดินจีนในยุคที่โดนญี่ปุ่นรุกราน นางเอกของเราก็ต้องหนีจากแผ่นดินจีนมาเพราะโดนพวกญี่ปุ่นตามล่า

เธอหนีมายังสำนักกังฟูของปู่ที่อยู่ในไต้หวัน แต่กระนั้นเธอก็พบว่าพวกญี่ปุ่นก็กำลังครองเมืองและสร้างความเดือดร้อนให้ชาวไต้หวันอยู่เช่นกัน ทำให้เธออยากจะทำการต่อต้านความโหดเหี้ยมของชาวญี่ปุ่น และที่นั่นเองเธอก็ได้พบกับโจรหนุ่มคนหนึ่ง (เฉินหลง) ที่แม้ดูภายนอกจะเป็นคนกะล่อนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ภายในใจของเขานั้นมีความรักชาติและเกลียดการรุกรานของพวกญี่ปุ่นเหมือนกัน

และพอพวกญี่ปุ่นระรานคนไต้หวันมากๆ เข้า โจรหนุ่มของเราก็ทนไม่ได้ครับ ประกาศตัวว่าจะต่อสู้กับพวกญี่ปุ่นเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของคนไต้หวันให้ได้

โดยพล็อตแล้วก็เหมือนการเอา Fist of Fury มาเล่าอีกหนครับ โดยตัวละครของ เฉินหลง นั้นก็มาแทน Bruce Lee เป็นพระเอกที่รักบ้านเมืองและพร้อมจะนำผู้คนต่อสู้กับชาวญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้ก็ขอเล่าที่มาของหนังเรื่องนี้ก่อนนะครับ หนังกำกับโดย หลอเหว่ย ที่ร่วมงานกับ Bruce Lee มาหลายครั้งและเขายังเป็นคนกำกับ Fist of Fury ด้วย

หนังเรื่องนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นเพราะ หลอเหว่ย อยากปั้น เฉินหลง ให้เป็นพระเอกนักบู๊แถวหน้าคนใหม่ต่อจาก Bruce Lee ที่ตอนนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้คืองานแสดงนำแบบเต็มตัวครั้งแรกของเฮียเฉินครับ ทีนี้คำถามสำคัญก็คือ แล้วหนังออกมาเป็นอย่างไร

ถ้าให้ว่าตามตรงแล้ว หนังออกมาเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้สนุกหรือประทับใจอะไร (แน่นอนว่าหนังเทียบ Fist of Fury ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง) อย่างแรกเลยคือหากใครคาดหวังฉากบู๊ออกหมัดแบบจัดเต็มแล้ว อาจต้องเผื่อใจไว้หน่อยครับ เพราะเรื่องราวในหนังส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ฉากคนญี่ปุ่นเกะกะระรานคนไต้หวัน กับฉากคนจีนและไต้หวันที่โกรธแค้นชาวญี่ปุ่นจนต้องมานั่งประชุมกันอย่างลับๆ ว่าจะเอาคืนพวกญี่ปุ่นได้อย่างไร ฉากส่วนมากในหนังจะเกี่ยวกับอะไรแบบนี้ครับ ในขณะที่ฉากบู๊ก็จะมีแทรกเป็นพักๆ แต่คิวบู๊ก็ไม่ได้เร้าใจสักเท่าไร

Untitled04432

และคิวบู๊ที่ว่านี่ ในครึ่งแรกเฮียเฉินของเราแทบไม่ได้บู๊อะไรเลยครับ คนอื่นบู๊กันเป็นหลัก ในขณะที่เฮียเฉินกว่าจะได้บู๊ก็ปาเข้าไปช่วงท้ายๆ แล้ว ซึ่งลีลาการบู๊ของเฮียเขาก็ถือว่าโอเคครับ แต่ก็ไม่ได้น่าจดจำอะไร และบอกก่อนว่าลีลาบู๊ในเรื่องนี้มันจะออกแนวจริงจังแบบ Bruce Lee ยังไม่ใช่บู๊ไปฮาไปแบบหนังเฮียเฉินในยุคต่อมา

ก็พอเข้าใจครับว่า หลอเหว่ย ตั้งใจจะปั้น เฮียเฉิน เลยใช้สูตรที่เคยสำเร็จมาแล้วในหนังเรื่องก่อนๆ ของ Bruce Lee มาเป็นแนวทาง แต่การทำแบบนั้นก็ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบโดยปริยาย ซึ่งผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้ในแง่ของรายได้แล้วก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จครับ ว่าตรงๆ คือหนังไม่ดังและไม่สามารถแจ้งเกิด เฉินหลง ได้อย่างที่ทีมงานคาดหวังไว้

จริงๆ พอดูหนังแล้วก็พอเข้าใจได้น่ะครับว่าทำไมหนังถึงไม่ดัง เพราะหนังเอาเข้าจริงแล้วไม่ได้สนุกอะไรมากมาย หนังใช้เวลาไปกับฉากพูดคุยระหว่างคนญี่ปุ่นที่หมายจะยึดและเอาชนะทุกสิ่ง กับฉากที่คนจีนคุยกันอย่างโกรธแค้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคุยเพื่อระบายแค้น ซึ่งหนึ่งชั่วโมง (กว่าๆ) แรกของหนังเต็มไปด้วยฉากที่ว่านี่ครับ และการนำเสนอฉากเหล่านี้ก็ไม่ได้มีพลังหรือน่าจดจำอะไรขนาดนั้นด้วย (สารภาพว่าแอบเบื่อในบางช่วงครับ)

ในขณะที่ Fist of Fury นั้น หนังเปิดโอกาสให้เฉินเจิน (Lee) บู๊ตั้งแต่ตอนต้นๆ จนครองใจคนดูได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก ส่วนเรื่องนี้เฮียเฉินมีบทตอนต้นๆ ไม่มากครับ กว่าจะมีบทมากก็ปาไปครึ่งหลัง ซึ่ง “มาก” ที่ว่านี่คือมากขึ้นกว่าครึ่งแรกนะครับ แต่ไม่ได้แปลว่าบทเยอะเด่นมากจนนำคนอื่นๆ (เพราะไปๆ มาๆ ผมว่าบทของ เหมียวเข่อซิ่ว ดูจะเด่นกว่าอยู่ดี)

ครับ และนี่คือก้าวแรกของเฉินหลงที่แม้จะยังไม่ใช่การแจ้งเกิด แต่ผมก็ถือว่าไม่เสียเปล่านะครับ เพราะมันคือการเก็บประสบการณ์ คือการสั่งสมความรู้เกี่ยวกับการแสดงและการทำหนัง ซึ่งจริงๆ แล้วกว่าที่เฉินหลงจะพบแนวทางที่เหมาะกับสไตล์ของเขานั้น เขาก็ต้องเจอกับความล้มเหลวอยู่นานหลายปีเลยล่ะครับ

แต่อย่างน้อยการรู้ว่า “สิ่งใดไม่ใช่สำหรับเรา” ก็จะทำให้เรารู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น แบบที่เฮียเฉินได้รู้และค้นพบแนวทางของตัวเองในเวลาต่อมา

สำหรับผมแล้ว ผมดูหนังเรื่องนี้เพื่อทำความเข้าใจ “การเดินทางของเฉินหลง” ให้เราได้เห็นตั้งแต่ก้าวแรกว่าเขาพบเจอกับอะไร ดังนั้นผมไม่ถือว่าผมเสียเวลาในการดูครับ แต่หากว่ากันในแง่ของหนังแล้ว ตัวหนังออกจะเรื่อยๆ ไม่มีจุดเด่นหรือสิ่งที่น่าประทับใจ จนหากท่านไม่ชมก็ไม่เป็นไร

ไม่ถึงสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)