X-Men: Days of Future Past ทำการแก้ลำเรื่องราวของหนังชุดนี้อย่างได้ผลครับ หลังจากที่หลายภาคที่ทำออกมาก่อนหน้า ทำแล้วมีจุดขัดกันเองหรือไม่กลมกลืนอยู่หลายอย่าง
ไปๆ มาๆ ภาคนี้ผมเอามาเปิดดูบ่อยทีเดียวตั้งแต่มันออกแผ่นมา ถ้าถามว่าชอบอะไรก็ตอบได้ว่าชอบเนื้อเรื่องครับ การเล่าเรื่องภาคนี้มันเข้มข้นมาก และที่ชอบมากที่สุดคือตัวละครทุกตัวมีคาแรคเตอร์ที่แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะโผล่มากหรือโผล่น้อย แต่ทุกคนล้วนมีจุดให้เราจดจำ ล้วนมีผลต่อเนื้อเรื่องในแต่ละส่วนอย่างพอเหมาะ
ถ้าว่ากันถึงแง่แอ็กชันแล้ว ภาคนี้ไม่ได้ตีกันเยอะ เอาเข้าจริงๆ แล้วฉากแอ็กชันที่เด็ดสุดต้องยกให้ตอนกลางเรื่อง เมื่อควิกซิลเวอร์ (Evan Peters) สำแดงพลัง ฉากนี้เท่ห์และสุดยอดมากๆ แต่นอกนั้นถือว่าฉากปะทะกันมีไม่มากเท่าไร
แต่กระนั้น สำหรับผมแล้วแก่นหลักของ X-Men ไม่ใช่เรื่องคนตีกัน ดังนั้นฉากแอ็กชัน ถ้ามากก็กำไร แต่ถ้าน้อยไปก็ไม่ขาดทุน เพราะจุดที่เป็นประเด็นหลักของจริงมันคือ เรื่องการปรับตัวเข้าหากันระหว่างคนธรรมดากับมิวแตนท์ (และยังมีระหว่างมิวแตนท์ที่คิดต่างกันอีก) อันนี้แหละครับที่น่าลุ้นและน่าติดตาม
ผมคิดเสมอว่า แม้คนธรรมดาและมิวแตนท์จะแตกต่างในด้านพันธุกรรมมากแค่ไหน แต่ยังไงคนก็ยังเป็นคนครับ ไม่ว่าจะกลายพันธุ์หรือไม่พวกเขาต่างก็มีความคิด มีความรู้สึก มีความรัก ความหลง ความกลัวเป็นของธรรมดา
สิ่งที่มีผลสำคัญจริงๆ ต่อเหตุการณ์ต่างๆ (ที่ทำให้เรื่องมัน “จบด้วยดี” หรือ”ไปกันใหญ่”) มันไม่ใช่ว่าใครมีพลังมากกว่าใคร แต่มันอยู่ที่ “ใครคิดยังไง และจะทำอย่างไรต่อไป”
ถ้าในหนังมีแค่คนธรรมดา และมิวแตนท์เดินดินด้วยกัน ไม่กลัว ไม่ข่ม ไม่ถ่มถุย ไม่ระราน ต่างฝ่ายต่างไม่ให้อารมณ์มาขย่มโลกจนความสงบกระเจิง เรื่องราวอาจต่างออกไป
แต่จะทำยังไงได้ เมื่อคนเรายังไงก็เป็นคน ยังไงอารมณ์ความรู้สึกก็ส่งผลต่อสรรพสิ่งในชีวิตเสมอ
ถ้าต่างฝ่ายต่างคุมอารมณ์ได้ เรื่องคงเป็นอีกแบบ… ประโยคที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงแค่ในหนังครับ แต่ยังหมายถึงอีกหลากเรื่องราว หลายสถานการณ์ในโลกแห่งความจริงที่เรากำลังหายใจอยู่ด้วย
อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง หากแต่ละคนในโลก X-Men ไม่ได้มองที่ความต่าง แบบ “ไอ้นั่นกลายพันธุ์ ไอ้นั่นบินได้ ยัยนั่นตัวฟ้า” แต่พากันมองว่า “ต่างฝ่ายต่างก็กลัวนะ ต่างฝ่ายต่างก็มีธรรมชาติเป็นพ่อแม่นะ ต่างฝ่ายต่างก็มีอารมณ์ขึ้นลงนะ”… หากพากันมองแบบนั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร
(หลายคนอาจตอบในใจ “เป็นอย่างไรน่ะหรือ?… ก็เป็นไปไม่ได้ไง” 5555)
ดาราแต่ละเจ้าที่มารับบท X-Men ก็เล่นกันได้ดีครับ ต้องบอกว่าเพราะการแสดงดีๆ ของพวกเขาด้วยนี่แหละครับที่ทำให้หนังน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งแต่ละคนที่มาแสดงก็ล้วนเป็นหน้าเดิมที่แฟนหนังชุดนี้คุ้นเคยครับ ไฮไลท์สำคัญของภาคนี้คือเหล่าเอ็กซ์เมนรุ่นเดิมและรุ่นใหม่ได้ปรากฏตัวกันแบบพร้อมหน้า เรียกว่าเป็น “ภาคนี้ที่รอคอย” สำหรับแฟนหนังชุดนี้ก็ว่าได้ครับ
ในแง่งานสร้าง เทคนิคพิเศษต่างๆ ก็ไว้ใจได้สบายๆ ล่ะครับ และภาคนี้ได้ Bryan Singer กลับมากำกับ ซึ่งหลังจากดูไปหลายรอบแล้วผมก็พูดได้เต็มปากครับว่านี่คือ X-Men ภาคที่ผมชอบที่สุด เพราะมันครบเครื่อง กลมกล่อม เนื้อหาดี ตัวละครมากันเพียบ และเรื่องราวมันเชื่อมแต่ละภาคเข้าด้วยกันอย่างยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่เชื่อมในแง่เนื้อเรื่องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวคิด/ประเด็นเกี่ยวกับมิวแตนท์ด้วย
ภาคนี้แสดงให้เห็นชัดเลยครับว่าการกระทำของเราในวันนี้จะส่งผลถึงวันหน้าเสมอ อย่างแม็กนีโต้นี่จะชัดมาก ตอนวัยหนุ่ม (Michael Fassbender) นี่พี่ท่านมีอุดมการณ์ในแบบของตัวเอง ซึ่งอุดมการณ์นั้นจะออกแนวล้างผลาญและคิดถึงแต่ฝ่ายตนเป็นหลัก (ส่วนสำคัญก็เนื่องมาจากประสบการณ์เลวร้ายทั้งหลายที่เขาได้รับมานั่นเอง) และเราก็จะได้เห็นแม็กนีโตในวัยชรา (Ian McKellen) ที่พอผ่านอะไรมามากๆ แล้วก็ตระหนักได้ว่าวิถีทางที่เขาเคยคิดว่าถูกเมื่อสมัยหนุ่มๆ นั้น จริงๆ แล้วมันไม่ได้ถูกไปเสียทั้งหมด มิหนำซ้ำยังก่อให้เกิดผลร้ายตามมาอีกต่างหาก
“ตอนนั้นพวกเรายังไม่ค่อยรู้อะไรเป็นอะไรสักเท่าไร” เป็นคำที่แม็กนีโต้พูดกับชาร์ลส์ (Patrick Stewart) ครับ และเป็นอีกหนึ่งวาระที่ผมชอบมากๆ เพราะวาระสั้นๆ นี้ทำให้เราตระหนักได้เลยว่าแม็กนีโต้ในวัยชรานั้นเขายอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแล้ว เพียงแต่ตามสไตล์ของเขานั้นจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ หรอก แต่จะออกมาประมาณนี้แหละ
และจากการดูรอบล่าสุด ดูฉากที่ว่านี่แล้วก็ทำให้ย้อนดูตัวเหมือนกันนะครับ ย้อนนึกถึงที่สมัยอายุ 20 บวกลบ สมัยนั้นเราก็คิดว่าเรารู้อะไรเยอะแล้ว เรามองอะไรถูกต้อง เราเข้าใจโลกทั้งใบ เรานั้นช่างอหังการ (แต่ขณะเดียวกันเราก็พยายามบอกตัวเองและบอกกับใครๆ ว่าเรานั้นติดดิน เรียบง่าย และไม่ได้อหังการแต่อย่างใด) ฯลฯ แต่พอถึงเวลานี้ พอผ่านอะไรมาเยอะๆ ผ่านชีวิตมามากขึ้นกว่าตอนนั้นมาหลายสิบปี พอมองย้อนไปก็รู้สึกอารมณ์เดียวกับที่แม็กนีโต้มองตัวเองเมื่อวันวานน่ะครับ “เรานั้นยังเยาว์นัก”
กระทั่งตอนนี้ที่แม้จะแก่ขึ้น แต่ก็ยังจัดว่าเยาว์อยู่… ในหลายๆ ภาคส่วน
การดูหนังภาคนี้ นอกจากจะรู้สึกสนุกกับการเจอตัวละครทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่แล้ว ก็ยังสนุกกับเรื่องราว พร้อมทั้งได้แง่คิดติดหัวกลับไปสำรวจตัวเอง อีกทั้งได้เห็นการบรรจบกันของจักรวาล X-Men สำหรับผมเลยทำให้ภาคนี้เป็นที่สุดครับ แล้วยังรู้สึกว่าดนตรีช่วง End Credits มันอลังการและชวนฮึกเหิมจริงๆ (ผลงานของ John Ottman ครับ เจ้าเดิมที่เคยทำดนตรีให้ 2 ภาคแรกนั่นเอง – กลับมาพร้อมกับ Singer นั่นแหละครับ)
ถือเป็นท็อปฟอร์มของหนัง X-Men ครับ
สามดาวครับ
(8/10)