วันก่อนจัดเรื่อง Pitch Black ต่อด้วย The Chronicles of Riddick แล้วทีนี้อารมณ์มันติดพันครับ อยากดูหนังไซไฟผจญภัยบนต่างดาวอีกสักเรื่อง ก็เลยหันไปคว้า Planet of the Apes ฉบับป๋า Tim Burton มาสนองตัวเองสักรอบ
จริงๆ ผมชอบหนังเรื่องนี้นะครับ จำได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนดูในโรงนี่รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินเสียนี่กระไร แต่พอเอามาดูอีกครั้งตอนนี้ แม้จะรู้สึกว่าหนังมันดูเพลิน แต่ดีกรีความชอบกลับไม่เท่าเดิมซะแล้ว
ส่วนหนึ่งก็คงเพราะความชราน่ะครับ พออายุเยอะแล้ว ดูหนังมามากๆ แล้วบางทีหนังเรื่องเดิมที่เคยเติมเต็มความรู้สึกมันส์ๆ ได้ในอดีตก็ไม่สามารถทำให้เราฟินาเล่อร่อยลิ้นได้ในปัจจุบัน
หนังยังคงเป็นเรื่องเดิม แต่คนดูอย่างเรานี่ล่ะกระมังที่เปลี่ยนแปรไป
เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ง่ายๆ ที่ตอกย้ำความจริงที่ว่าความชอบของคนเรามีขึ้นมีลงครับ ดังนั้นรีวิวบางเรื่องที่เราเคยเขียนถึงวันนั้นมาวันนี้มันอาจไม่เหมือนเดิม หรือความชอบ-ไม่ชอบที่เราเคยมีต่อหนังสักเรื่องก็อาจไม่เท่ากันเมื่อวันคืนผ่านไป
เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ผมอยากบอกทุกท่านว่า ไม่ต้องคิดมากกับผลรีวิวหรือจำนวนดาวหรอกครับ เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ อย่างบางคนอาจรู้สึกไม่ดีตอนที่เราชอบหนังสักเรื่อง แต่มีคนรีวิวบอกเล่าว่าหนังไม่สนุก อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องไปโต้แย้งหรือรู้สึกไม่ดีหรอกครับ ก็แค่คิดไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน มันคือธรรมดาโลก
นึกตลกตัวเองที่เมื่อหลายสิบปีก่อนตอนวิ่งในโลกอินเตอร์เน็ตใหม่ๆ บางทีเราก็ไปโต้เถียงกับใครๆ ว่าหนังเรื่องไหนสนุก-ไม่สนุก… บางครั้งเราอาจได้มิตรจากความคิดที่แตกต่าง แต่บางครั้งเราก็เสียเวลาไปกับความรู้สึกลบๆ โดยใช่เหตุ
สำหรับ Planet of the Apes ฉบับนี้เป็นการเอาของเก่ามา Reimagination ใหม่ โดยเอาโครงเกี่ยวกับนักบินอวกาศหนึ่งคนบินไปร่อนลงบนดาวดวงหนึ่งที่ปกครองด้วยวานร และมนุษย์ก็อยู่ในฐานะทาส แต่เนื้อหาภายในจะแตกต่างออกไปบ้าง ตัวเอกในเวอร์ชั่นนี้มีนามว่า ลีโอ เดวิดสัน (Mark Wahlberg) ที่ต้องมาเจอกับโลกแห่งวานรที่มีผู้นำผู้แข็งแกร่งเป็นลิงชิมแปนซีนามว่านายพลเธด (Tim Roth)
ตอนแรกลีโอก็โดนจับตัวไว้ โดนเหล่าลิงใช้งานเป็นทาส แต่เขาก็โชคดีครับที่ได้เจอกับอาริ (Helena Bonham Carter) วานรสาวที่เชื่อในความเสมอภาคและอยากให้วานรเลิกกดขี่มนุษย์เสียที ซึ่งอาริก็ตัดสินใจช่วยพาลีโอกับมนุษย์คนอื่นๆ หนีออกมา
ทีนี้พอเธดรู้เข้าเขาก็ระดมกำลังวานรออกตามล่ามนุษย์ฝูงนี้ทันที แล้วในที่สุดการปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างวานรและมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลียงได้อีกต่อไป
จริงๆ หนังยังดูสนุกอยู่ครับ หลายอย่างยังถูกใจอยู่ ไม่ว่าจะการแสดงระดับสุดยอดของ Roth ที่แม้จะเมคอัพเป็นวานร แต่พี่ท่านก็ยังสามารถฉายแววอำมหิตและแสดงอารมณ์ทะลุเมคอัพออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่ง Roth ก็ถึงกับยอมบอกปัดบทศาสตราจารย์สเนปจาก Harry Potter เพื่อมารับบทนี้โดยเฉพาะทีเดียว
ดาราเจ้าอื่นถือว่าแสดงกันได้ไม่มีปัญหาครับ โดยที่หนังยังได้ 2 นักแสดงเก่าจากต้นฉบับมาร่วมแสดงด้วย โดย Charlton Heston มารับบทบิดาของเธด และ Linda Harrison นางเอกจากฉบับเก่าก็มาโผล่แว้บๆ ตอนลีโอโดนขังในกรงแล้วถามว่าที่นี่ที่ไหนนั่นล่ะครับ
สิ่งที่ชอบต่อมาคือการออกแบบเมืองวานรที่น่าสนใจดี งานด้าน Effect หรือฉากระเบิด ฉากต่อสู้ก็จัดว่าไม่เลวครับ ดูลงทุนในระดับหนึ่ง แต่ถ้าพูดถึงด้านพลังจินตนาการ (พวกฉากต่างๆ บนดาว หรือแม้แต่อาณาบริเวณแถวแดนต้องห้าม) อาจจะยังไม่ถึงกับโดดเด่นอะไรนัก
ด้านการเดินเรื่องนั้นจริงๆ ก็ดูได้เพลินๆ ครับ พวกลีโอก็หนีการตามล่าไป หาทางไปต่อเรื่อยๆ จนสุดทางหลังชนฝาแล้วค่อยมาหาทางสู้ เดาทิศทางได้ไม่ยาก เรียกว่าลงสูตรสำเร็จอยู่แล้วล่ะครับ ซึ่งมันก็ดูสนุกๆ ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นเต้นลุ้นระทึกแบบเต็มพิกัดเท่านั้นเองล่ะครับ
สาระที่แทรกก็ว่าด้วยเรื่องง่ายๆ ครับ ชวนให้เราคิดว่าทุกวันนี้เราทำตัวเหมือนเหล่าวานรในหนังหรือเปล่า ที่เอาแต่กดขี่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ จับเอาสรรพสิ่งในธรรมชาติมารับใช้สนองความต้องการของตนเองแบบเต็มที่ โดยไม่คำนึงว่าสิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องลำบากเพราะเรามากน้อยแค่ไหน หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติก็เหมือนกัน อันว่าเหล่าทรัพยากรธรรมชาติที่เสียไปเพื่อสนองเรานั้นมันคุ้มค่าอย่างแท้จริงหรือเปล่า (ลองเอาผลลัพธ์ของสิ่งที่เราต้องการมาเทียบดูครับ ว่ามันคุ้มไหมกับที่ธรรมชาติต้องเสียบางสิ่งเพื่อแลกให้ได้มันมา)
อีกอย่าง บางครั้งหากเราทำอะไรกับธรรมชาติ เราก็จะได้รับผลตอบแทนลักษณะนั้น (หรือรุนแรงกว่านั้น) จากธรรมชาติได้เหมือนกัน ซึ่งประเด็นอันนี้เราจะเอามาประยุกต์ใช้กับสัตว์หรือคนด้วยกันก็ได้ครับ เพราะหลักการก็ทางเดียวกัน ทำอะไรกับใครก็อาจได้แบบนั้นกลับคืนมาสักวัน (เช่นนั้นเลือกทำสิ่งดีไปเลยดีกว่าครับ )
ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้สึกชอบหนังน้อยลง ก็คงเพราะพอเอามาดูอีกทีแล้วรู้สึกว่าพล็อตมันยังแน่นได้อีกนั่นล่ะครับ อีกทั้งถ้าว่ากันถึงจินตนาการแล้ว มันก็น่าจะใส่อะไรลงไปได้อีกสักนิดให้เรารู้สึกถึงความเด่นของหนัง มากกว่าแค่การรบกันระหว่างคนกับวานร
ยิ่งมานึกถึงภาคต้นฉบับที่จบได้ชวนอึ้ง และเนื้อเรื่องระหว่างนั้นแม้จะอืดยืดตามสไตล์หนังเก่าๆ แต่มันก็แทรกไว้ด้วยประเด็นสะท้อนให้เราเห็น ว่าถ้าวันหนึ่งมนุษย์เป็นทาส โดนฆ่าตายง่ายๆ เหมือนบี้มด หรือโดนทดลองต่างๆ เหมือนที่เราทำกับหนู เวลานั้นเราจะรู้สึกเช่นไร
แต่ยังไงซะ Planet of the Apes ฉบับนี้ก็ทำออกมาได้ดูเพลินในฐานหนังแอ็กชันผจญภัยสักเรื่อง เพียงแต่พอนึกถึงคนกำกับว่าเป็น Tim Burton แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ ไม่ว่าจะฉากศิลป์ๆ หรืออารมณ์ขันร้ายๆ สไตล์เจ้าชายในเงามืดคนนี้
แต่อย่างไรเสียหนังเรื่องนี้ก็ทำเงินสวยอยู่ครับ ลงทุนราวๆ $100 ล้าน ได้คืนมา $362 ล้านจากทั่วโลก กำไรใช้ได้ครับ
ได้แค่นี้ก็ยังถือว่าน่าพอใจน่ะครับ แต่ยังไม่เป็นหนังป๋า Tim เต็มที่สักเท่าไร
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Sci-Fi