
นี่คือหนังแนวกีฬาที่ผมชอบสุดๆ เรื่องหนึ่งครับ ชอบตั้งแต่ได้ดูครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน จนซื้อวีดีโอเก็บ พอตอนมีคนทำออกมาเป็นแบบ DVD Box Set ผมก็คว้ามาทันใด ยิ่งดีใจครับที่ได้เสียงพากย์ไทยสมัยวีดีโอโดยทีม CVD ครบทั้ง 3 ภาค
The Mighty Ducks ว่าด้วยเรื่องของกอร์ดอน บอมเบย์ (Emilio Estevez) ทนายความหนุ่มที่ชอบชนะคดีโดยไม่เกี่ยงวิธี (ว่าง่ายๆ คือพร้อมโกงเสมอน่ะครับ) แต่แล้ววันหนึ่งเขาดันเมาแล้วขับเลยโดนศาลสั่งให้ไปบำเพ็ญประโยชน์แก่ชุมชน ด้วยการเป็นโค้ชให้กับทีมฮ็อคกี้เยาวชนเขต 5 ซึ่งทีมนี้ก็ทั้งแก่น ทะเล้น และที่สำคัญคือไม่เคยชนะฮ็อคกี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ในตอนแรกกอร์ดอนก็ทำหน้าที่แบบเสียมิได้ครับ เพราะจริงๆ แล้วเขาเคยมีอดีตฝังใจกับฮ็อคกี้ ในสมัยเด็กนั้นเขาเป็นตัวเต็งเลยนะครับ เก่งมากๆ แต่ในการแข่งนัดสำคัญเขายิงประตูพลาด ส่งผลให้ทีมต้องพ่ายแพ้ และในปีนั้นพ่อของเขายังมาจากไปอีก มันเลยกลายเป็นแผลฝังใจมาโดยตลอด
แล้วก็เหมือนชะตากรรมเล่นตลกครับ เพราะทีมเขต 5 ของเขาต้องเจอกับทีมฮอว์ค ทีมเดิมที่กอร์ดอนเคยอยู่และลิ้มรสความพ่ายแพ้นั่นเอง… เล่าแค่นี้ล่ะนะครับ ที่เหลือลองไปหาดูกัน จำได้ว่าตอนออก DVD Box Set นั้นลดราคาแบบหั่นแหลกเลย เดาว่าคงไม่ค่อยไม่ใครซื้อไปดูกันเพราะมันไม่ใช่หนังดัง
แต่ถ้าคุณเป็นคอหนังแนวกีฬาสนุกๆ ชอบดูเด็กแก่นๆ มารวมตัวกัน และแฝงด้วยแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการเล่นกีฬา เกี่ยวกับชัยชนะ และความหมายของความพ่ายแพ้ ผมขอแนะนำให้ดูได้เลยครับ มันทั้งสนุก ทั้งตลก
และถ้าคุณเปิดให้ลูกหลานดูพร้อมสอนวิชาชีวิต (“หัวข้อน้ำใจนักกีฬา” และ “กีฬาสร้างคนได้อย่างไร”) ประกอบการชม ผมเชื่อว่าพวกเขาจะได้สาระดีๆ และเข้าใจถึงหัวใจอันงดงามของกีฬาได้ไม่มากก็น้อย
ว่าตามจริงคือหนังไม่ได้สมบูรณ์แบบหรือยอดเยี่ยมอะไรมากมายครับ แต่มันมีครบในสิ่งที่หนังแนวนี้ควรมี ทั้งความสดใสแก่นเซี้ยวของเด็กๆ ความฮา แล้วก็ความลุ้นยามแข่งกีฬา มีสาระการฝึกตนเองให้ฝีมือพัฒนา มีคนดี มีคนเห็นแก่ตัว มีคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เพราะพลังกีฬา มีดนตรีดีๆ กับเพลงเพราะๆ (ที่มีประจำทุกภาคก็คือ We Are The Champion และ We Will Rock You ของวง Queen) แต่ในด้านต่างๆ พวกนั้นมันอาจไม่ได้ยอดเยี่ยม ไม่ได้ลุ้นมโหฬารตัวโก่ง หรือไม่ซึ้งจัดอะไรขนาดนั้น ทว่าสำหรับผม มันมีอย่างพอดีพอเหมาะ ทำให้ดูจบแล้วยิ้มได้ ดูจบแล้วรู้สึกรักกีฬามากขึ้น
และแน่นอนครับว่าสิ่งที่่ทำให้ผมรักหนังชุดนี้ก็คือ สาระดีๆ ที่แทรกลงไป

อย่างแรกคือตัวกอร์ดอน ที่จะว่าไปแล้วเขาก็คือเด็กที่มีความผิดหวังเป็นแผลในใจ แล้วก็โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียเปรียบหรือมีแผลเกิดที่ใจอีก และพยายามหลีกหนีจากคำว่าพ่ายแพ้ทุกวิถีทาง
น่าเห็นใจกอร์ดอนครับ ที่เขาไม่ได้รับการชี้ทางที่เหมาะสม เพราะตอนนั้นเขาถูกโค้ชแจ็ค ไรลี่ย์ (Lane Smith) สอนแต่ว่า ชัยชนะเท่านั้นถึงจะทำให้เรามีค่า การเล่นกีฬาก็เพื่อกำชัยชนะไม่ใช่เล่นแบบเล่นๆ
จริงครับที่ทุกการแข่งขันมีแพ้มีชนะ มันคือผลที่เราต้องได้รับ แต่มันก็ไม่ใช่ทุกสิ่ง เพราะกีฬายังมีคุณค่าด้านอื่นๆ เจือปนอยู่มากมาย และหนึ่งในของดีที่สุดก็คือ “ความสนุก”
มันคือรสชาติแห่งความเพลิดเพลินเมื่อเราได้เล่นแบบเบาๆ กับเพื่อน ได้ออกแรงให้เหงื่อได้ไหล ผ่อนคลายกายและใจไปในคราวเดียว และธรรมชาติชนิดหนึ่งของการสนุกไปกับเกมกีฬา (หรือแม้แต่เกมชีวิต) ก็คือ เราจะไม่กดดัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการเล่นแบบไม่กดดัน เราจะสามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหลที่สุด
ถ้าเราสนุกได้ตั้งแต่ตอนซ้อม ยาวมาจนถึงขณะแข่งขันเรื่อยไปจนถึงตอนจบ เราก็จะได้กำไรแห่งความสุขอันล้นเหลือ
ระหว่างแฮ้ปปี้สุดๆ เฉพาะตอนรู้ว่าชนะ กับแฮ้ปปี้ตั้งแต่เริ่มจนจบ แบบไหนจะมีปริมาณความสุขในเส้นเลือดมากกว่ากัน
หรือต่อให้เราแพ้ แต่ระหว่างเราเครียดมาตลอดการแข่งขัน แล้วจากนั้นก็เกิดแพ้ กับเราสนุกมาตลอดไม่มีเว้น แล้วค่อยรับยอมรับความพ่ายแพ้… ผมว่าอันหลังนี่ยังกำไรนะครับ เพราะอย่างน้อยเราก็มีช่วงเวลาสนุกบ้าง ในขณะที่แบบแรกนี่เครียดทั้งขึ้นทั้งล่อง
และนั่นคือสิ่งที่กอร์ดอนได้เข้าใจครับ หลังจากได้รับการเตือนสติโดย ฮานส์ (Joss Ackland) เพื่อนต่างวัยที่แสนดีของเขา ที่คอยบอกให้เขาระลึกดีๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขารักฮ็อคกี้เมื่อสมัยก่อน มันไม่ใช่แต้มคะแนน ไม่ใช่คำว่า “ชนะแล้ว” แต่มันคือการได้จับไม้ ได้พลิ้วไหว ได้ตีลูก ได้ลุกได้ล้ม ได้เป็นตัวของจัวเอง และได้เล่นกับพ่อหรือกับเพื่อน
นอกจากนี้กอร์ดอนยังเข้าใจถึงหน้าที่ของโค้ชครับ ไม่เหมือนตอนแรกที่เขาทำทุกอย่างก็เพื่อตนเอง ไม่ว่าจะโกงเพื่อชนะ โวยวายยามไม่ได้ดั่งใจ แต่แล้วเขาก็ได้ตระหนักว่าโค้ชคือคนสำคัญที่จะแนะนำสิ่งที่ดีหรือไม่ดีให้กับลูกทีมได้ทั้งสิ้น หรือแม้แต่สิ่งที่เราทำไป เด็กๆ ก็อาจจดจำไปใช้ ไปเลียนแบบก็ได้เหมือนกัน
และในมุมหนึ่ง โค้ชของเยาวชนทุกคนบนโลก ก็คือเรานั่นแหละครับ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เราพูด เราทำ เราแสดงออกนั้น จะไปเข้าตาเข้าใจพวกเขาเมื่อใด… เช่นนั้นแล้ว เราใยไม่ใส่ใจในการกระทำตอนเองเพิ่มอีกนิด ยิ่งใครที่มักพร่ำบอกว่าห่วงสังคมยิ่ง ห่วงเยาวชนมาก… เราควรดีใจครับที่เราสามารถเริ่มเปลี่ยน เริ่มปลูกสิ่งดีๆ และเป็นตัวอย่างให้กับเด็กได้ในทุกนาที
ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ลืมที่จะเปรียบเทียบเล็กๆ ให้เราเห็นว่าในขณะที่กอร์ดอนพยายามหวนกลับมาสู่ทางที่ถูก แต่อดีตโค้ชของเขาอย่างแจ็ค ไรลี่ย์ กลับโดนอาการเสพติดชัยชนะครอบงำ สำหรับเขาความสุขจะมีได้ต่อเมื่อได้รับชัยชนะ ชวนให้ตระหนักครับว่ายิ่งเราจมกับเรื่องพวกนี้มากเท่าไร เราจะยิ่งถอนตัวได้ยาก และเรื่องพวกนี้ก็เข้าอีหรอบยิ่งถือยิ่งหนัก
อีกจุดที่ชอบคือการสอนเด็กให้เก่งขึ้น โดยใช้วิธีง่ายๆ แต่ได้ผล เราไม่จำเป็นต้องคิดทฤษฎีอะไรอลังการเลยครับ แค่ใจเย็น ค่อยๆ สอนแบบง่ายๆ ทำให้เขาเข้าใจ อย่างในเรื่องถ้าอยากให้โกล (ประตู) เลิกกลัวลูก ก็แค่จับพี่ท่านมัดแล้วซัดลูกใส่จนกว่าจะชิน… ง่ายแต่ได้ผลนะครับ (และที่สำคัญคือ ฮาด้วย )

ยอมรับว่าผมชอบนายกอร์ดอน บอมเบย์คนนี้มากเลยครับ จริงที่คาแรคเตอร์ของเขาและสิ่งที่เขาแสดงออกมันอาจตามสูตรไปหน่อย ลงล็อคสไตล์พระเอกหนังวอลท์ ดิสนี่ย์ที่แม้ตอนแรกจะดูร้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็จะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนดี มีน้ำใจ แต่มันก็ดูเป็นพัฒนาการที่น่าเชื่ออยู่ครับ
จริงๆ ผมว่า Estevez แกก็เล่นหนังได้ดีนะครับ เสียดายที่ไม่ดังนัก แต่กับหนังชุดนี้ก็ทำให้เขาดังไปพอตัวในอเมริกาครับ นอกจากนี้เรายังจะได้เจอกับ Joshua Jackson สมัยยังละอ่อนในบทชาร์ลี คอนเวย์ หัวหน้าทีมที่ถือว่าเป็นตัวนำรุ่นเล็กก็คงได้น่ะครับ ในเรื่องก็เล่นได้ดีเหมือนกัน อีกจุดที่เข้าท่าคือหนังมีการใส่คาแรคเตอร์เด่นๆ ให้คนจดจำเหล่าลูกทีมฮ็อคกี้อย่างได้ผลครับ ไม่ว่าจะเกร็ก โกลด์เบิร์ก (Shaun Weiss) เด็กอ้วนดำผู้รักษาประตู, ฟุลตัน รี๊ด (Elden Henson) เด็กโย่งที่ยิงลูกแรงราวพายุ, เจสซี่ ฮอลล์ (Brandon Quintin Adams) เด็กผิวดำที่พูดจาตรงไปตรงมาเสมอ, อดัม แบงค์ส (Vincent Larusso) หนึ่งในลูกทีมฮอว์คที่อยู่ดีๆ ก็ต้องมาเป็นหนึ่งในทีมของกอร์ดอน และ คอนนี่ (Marguerite Moreau) สาวน้อยที่ดูเหมือนจะมีสติสตางค์ที่สุดแล้วในทีมเดอะ ดั๊กส์นี่
เป็นงานกำกับของ Stephen Herek ที่ยุคนั้นพี่แกทำหนังเข้าท่าไว้เยอะ อย่าง Bill & Ted’s Excellent Adventure, The Three Musketeers และ Mr. Holland’s Opus แต่มาระยะหลังก็ไม่ค่อยมีงานเข้าเป้านัก สำหรับหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จสวยอยู่ครับ ทำเงินไป $50 ล้าน จากทุนสร้างราวๆ $10 ล้านเท่านั้น – ส่งผลให้มีภาคต่อตามออกมา
เกร็ดเล็กๆ จากหนังก็คือ Leonardo DiCaprio เคยมาแคสบทชาร์ลีด้วยครับ แต่สุดท้าย Jackson ก็ได้บทไป และอีกคนที่เกือบๆ จะได้เล่นเป็นชาร์ลีก็คือ Jake Gyllenhaal แต่พอดีสมัยนั้นพ่อแม่ของเขาไม่สนับสนุนให้เขาเล่นหนังครับ เลยทำได้แค่มาแคสเท่านั้น
และบทกอร์ดอนนั้นเคยมีการเล็งจะให้ Bill Murray มาแสดง แต่สุดท้ายก็ต้องพับความคิดเมื่อทีมงานตระหนักได้ว่าเขาน่าจะแก่เกินไปสำหรับบทนี้ และจริงๆ แล้ว Steven Brill ผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้เคยเสนอตัวจะเล่นเป็นกอร์ดอนด้วยครับ แต่ทาง Disney ปฏิเสธเพราะอยากได้ดาราที่มีชื่อมาเล่นมากกว่า
อีกอย่างคือบทหนังดั้งเดิมนั้นจะดาร์คกว่านี้ครับ คือจะเป็นเรื่องของอดีตนักเล่น NHL ที่กลายเป็นคนติดเหล้าและวางแผนจะแก้แค้นอดีตโค้ชของตนด้วยการเป็นโค้ชให้กับทีมฝ่ายตรงข้าม ครั้นพอบทมาถึง Disney ก็เลยมีการปรับให้โทนหนังเบาลง และมีอารมณ์ขันมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนบางองค์ประกอบไปเลย (เช่น เปลี่ยนให้กอร์ดอนไม่ใช่อดีตนักเล่น NHL และไม่ได้เป็นคนติดเหล้า เป็นต้น) ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นการเปลี่ยนที่ส่งผลดีต่อหนังครับ
เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมเชียร์ให้ดูครับ
ใกล้สามดาวครับ

(7.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Family, Inspirational Movies, Movie Reviews, Recommended Movies, Sport










