ครั้งแรกที่ผมเห็นโปสเตอร์แปะเตรียมเข้าโรงก็พึมพำในใจว่า “โอ้ มาอีกแล้วหรือครับ หนังรวมดาวตลก” ก็คาดล่วงหน้าไปเลยว่าหนังน่าจะขายขำตามสไตล์น่ะแหละ ซึ่งก็ไม่ใช่แนวของผมอยู่แล้วครับ เลยไม่ได้มีการตามไปพิสูจน์ในโรงแต่อย่างใด รอจนออกแผ่นมาก็เช่าสักหน่อยล่ะครับ จะได้รู้กันไปว่าหนังเป็นเช่นไรกัน
เนื้อหานั้นก็ง่ายมากนะครับ เรื่องของเทวดาองค์หนึ่ง (เทพ โพธิ์งาม) ที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับตัวหลวงพ่อแห่งวัดมักกะลีผล (ศรีหนุ่ม เชิญยิ้ม) ซึ่งได้เวลาสำเร็จอรหันต์พอดี ครั้นพอเทวดามาแจ้งหลวงพ่อว่าไปสวรรค์กันเถิด หลวงพ่อกลับนิ่งเฉยครับ แล้วก็ออกไปดับทุกข์ให้ชาวบ้านซึ่งแถวนั้นผู้คนก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เช่นคู่ผัวเมีย เจ๋ง (ค่อม ชวนชื่น) กับ นาง (ลูกนก สุภาพร ปั้นปรือ) ที่ตีกันทุกวัน หวาดระแวงกันไม่จำกัดเวลา
ไหนจะคู่พ่อลูกอย่างอาแปะขายกาแฟ (เด่น ดอกประดู่) กับหมวย (พะแพง – ศุภรดา เต็มปรีชา) ลูกสาวจอมดื้อที่อยากจะเข้ากรุงเทพให้ได้ เพื่อจะได้ไปอยู่กับผู้กองหนุ่ม (ตี๋ – วิวิศน์ บวรกีรติขจร) คนรักตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนผู้กองหนุ่มเองก็เคยมีปัญหาไม่ลงรอยกับพ่อ (เด๋อ ดอกสะเดา) ทำให้เขาก็อยากไปอยู่เมืองกรุงเหมือนกัน ลองว่าเรื่องเป็นแบบนี้อะไรๆ เลยไม่ลงตัวล่ะครับ
พอเห็นเช่นนี้ ท่านเทวดาก็คาดว่า สงสัยที่หลวงพ่อยังไม่ยอมขึ้นสวรรค์ไปกับเขาก็คงเพราะมีห่วงเรื่องพวกนี้ ก็เลยตัดสินใจช่วยเหลือแก้ปัญหาเท่าที่จะทำได้ซะเลย แต่จะยิ่งช่วยยิ่งวุ่นหรือไม่อันนี้ไปลุ้นกันต่อในหนังนะครับ
ช่วงที่หนังเข้าฉาย ผมกับเพื่อนก็แซวกันตลอดครับเวลาถามว่าจะดูเรื่องอะไรดี แล้พอหันไปเจอโปสเตอร์ก็บอกกันว่า “ไปดูเรื่องนี้สิ” แต่ละคนก็ไม่เอากันเป็นแถบๆ ทั้งเพราะไม่ใช่แนว และประสบการณ์จากหนังรวมดาวตลกมันก็ค่อนข้างแน่นอนน่ะครับว่าไม่ค่อยมีอะไรนักนอกจากความขำ (บางครั้งแม้แต่ความขำก็ไม่มี) ก็เลยขอดูเรื่องอื่นดีกว่า
แต่สำหรับผมโดยส่วนตัวนะครับ แม้จะไม่อยากดูหนัง แต่ถ้าเป็นพี่ๆ และดาวตลกรุ่นอาวุโสอย่างอาเด่น อาเด๋อ อาเทพมาร่วมกันเล่นหนังนี่ผมก็ว่ามันน่าสนใจดี ใจจริงคิดอยากให้พวกเขามารวมตัวทำ “เทพบุตรต๊ะติ๊งโหน่ง” เวอร์ชั่นยุคใหม่สักทีน่าจะดีไม่น้อย เพราะน่าจะเข้ากับบุคลิกของพวกอาเขาสุดๆ แหม ก็เคยเล่นบทนี้กันมาแล้วนี่ครับ ผมว่าน่าจะเป็นการรำลึกความทรงจำที่ดีนะ… ส่วนหนังเรื่องนี้ อาทั้งสามมาเล่นร่วมกันก็จริง แต่หน้าหนัง เนื้อเรื่องมันไม่ใคร่จะดึงดูดคนดูเท่าไร ดูตัวอย่างก็ไม่น่าฮาด้วย ผมเลยเฉยๆ แต่ก็คิดล่ะครับว่าถ้ามีโอกาสก็ต้องขอลองสักหน่อย
พอดูแล้ว ถ้าว่ากันถึงหนัง ก็ออกมาธรรมดาครับ ความขำนี่ไม่เยอะ จริงๆ ถือว่าน้อยด้วยซ้ำ ผมว่า ก่อนบ่ายเดอะมูฟวี่ ยังขำกว่าตั้งเยอะ (แม้จะเป็นการรียูสมุกซะส่วนใหญ่ก็เถอะ) เนื้อเรื่องก็เรื่อยๆ ไม่ได้มีลุ้นหรือชวนติดตามนัก ดูไปแล้วไม่ใคร่จะสนุกน่ะครับว่างั้นเถอะ นี่ถ้าว่ากันถึงความเป็นหนังน่ะนะครับ มันบันเทิงในระดับที่ไม่เลย ดูๆ ไปบางจังหวะก็มีเบื่อด้วย
ครับ หนังงั้นๆ… ไม่ดูก็ไม่เสียดาย… แต่ก็ใช่ว่าหนังจะไม่มีดีอะไรเลยซะเมื่อไร
แม้ความสนุกของหนังจะไม่มาก แต่ผมว่าเจตนาของคนที่กำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้ที่ชื่อ อาทิตย์ ศรีภูมิ ที่เคยร่วมควบคุมการสร้าง “พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า” และกำกับหนังเรื่องนี้เป็นหนแรก ก็จัดว่าน่าชื่นชมทีเดียวครับ
อย่างที่เล่าให้ฟังไปว่า หนังมีพล็อตว่าด้วยเทวดาที่อยากจะแก้ปัญหาให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งเรื่องผัวเมีย พ่อลูก ซึ่งตามปกติการใส่ประเด็นพวกนี้ลงไปในหนังเน้นตลกแบบนี้มักจะใส่เพื่อให้มีพล็อต มีเนื้อหาจับต้องได้บ้าง หนังจะได้ไม่โล่งโถงเกินไป ครั้นพอเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบก็พยายามสรุปเรื่องให้มัน Happy Ending ไปให้เรื่องมันจบๆ โดยที่มันไม่ได้มีสถานการณ์ใดๆ ที่ทำให้คู่กรณีได้เรียนรู้และตระหนักถึงทางออกของปัญหานั้นเลย… แต่กับเรื่องนี้ มันไม่ได้ใส่แบบงั้นๆ เท่านั้นนะครับ มันมีสาระที่พยายามสื่อสำหรับประเด็นนั้นๆ ด้วย
กล่าวคือหนังเล่าปัญหาของตัวละครให้คนดูได้รับรู้ แล้วก็ไม่ได้ปล่อยให้มันลอยไปตามลม ไม่ได้สรุปปมให้จบแบบดื้อๆ แต่ยังมีการสอนตัวละครในเรื่องให้เข้าใจและรู้จักจัดการกับปัญหานั้นๆ ด้วย
อย่างเรื่องพ่อลูกของอาแปะกับหมวย ที่อาแปะก็แรงกับลูกครับ แรงในที่นี้ไม่ได้แปลว่าแรงอย่างไร้เหตุผลนะครับ เขาแรงเพราะเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกไปจากอก ส่วนลูกเองก็ไม่ยอมครับ เห็นว่าพ่อหัวดื้อ ทำไมต้องมาขัดขวางการไปเรียนต่อยังกรุงเทพของเธอด้วย ต่างคนต่างมองคนละมุม จนเกิดปัญหาในครอบครัวขึ้นมา
แล้วสักพักหนังก็ได้ให้ตัวละครหลวงพ่อได้พูดเตือนสติหมวยก่อน ท่านได้เทศน์สอนโดยเปรียบความรักพ่อแม่ลูกกับแมวครับ
ประมาณว่ามีแม่และลูกแมวคู่หนึ่งอยู่บนศาลาพอดี หลวงพ่อก็เลยสอนโดยการถามหมวยว่า “ดูแมวคู่นั้นสิ รู้ไหมว่าตัวไหนเป็นตัวแม่ ตัวไหนเป็นตัวลูก” หมวยก็บอกไม่รู้หรอก หลวงพ่อเลยสั่งให้เด็กวัดไปเอาข้าวมา แล้วจะได้รู้ว่าใครเป็นแม่เป็นลูก
แล้วคำตอบก็ปรากฏครับ มีแมวหนึ่งตัวกินอาหาร ส่วนแมวอีกหนึ่งตัวก็ยังไม่กิน เหมือนรอให้ตัวนั้นกินอิ่มก่อน แล้วหลวงพ่อก็สรุปว่า ตัวที่เฝ้ามองรออีกตัวกินก่อนนั้นแหละ คือแม่… พ่อแม่นั้นแม้จะดุด่าว่าลูก แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ยังมีความห่วงใยเสมอ แม้อาแปะจะทำตัวดุดัน และขัดใจลูก แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่เขาพยายามเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด (ในความคิดของเขา) ให้หมวยเท่านั้นเอง…
หลวงพ่อสอนให้หมวยดูพ่อที่เจตนา มิใช่การกระทำ… การกระทำจะดุด่าอีกท่าไหนก็เถอะ แต่ดูรากเหง้าของการกระทำนั้นให้ดี… พ่อเขาห่วงมิใช่หรือ… นับเป็นสาระที่ดีไม่ใช่น้อยนะครับ
ต่อมาหลวงพ่อก็ได้ทำการสอนต่อ ไปสอนอาแปะครับ เดินไปบิณฑบาตยามเช้า พอพบอาแปะก็เทศน์สั้นๆ ว่า “เราจะไปบังคับตัวลูกให้เป็นอย่างที่เราต้องการนั้นมันไม่ได้หรอกนะโยม“… ไม่ยาวแต่ตรงครับ
นี่เป็นอะไรที่ผมชอบครับ หนังเปิดประเด็นแล้วก็ไม่ปล่อยให้ประเด็นปัญหาได้รับการแก้ “เพียงเพราะบทหนังกำหนด” แต่ยังมีการพยายามทำให้คนดูมองเห็นทางออกนั้นไปพร้อมๆ กับตัวละครด้วย
ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักทางจิตวิทยาครอบครัวแล้ว ปัญหาพ่อลูกหรือสามีภรรยา หากอยากแก้ให้ได้ผลนั้น ไม่ใช่แก้เพียงคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องปรับทั้งหมดทุกคน สร้างความเข้าใจให้เป็นไปทางทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าจะให้ตรงกันคงเป็นไปไม่ได้น่ะครับ เพราะคนย่อมคิดต่าง แต่อย่างน้อยก็ให้ลองมองจากมุมเดียวกันดู เพื่อให้เกิดความเข้าใจและพบจุดที่ Win Win กันทั้งสองฝ่าย
… อะไรเหล่านี้แหละครับคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าหนัง “มีดี“… แต่ก็น่าเสียดายนิดหน่อยที่แม้จะมีดี แต่การเดินเรื่อง การเล่าเรื่องยังมีจุดสะดุดติดขัด กระท่อนกระแท่นอยู่ ทำให้ด้านอารมณ์และความซาบซึ้งจึงไม่ใคร่จะมีเท่าไร
แต่ผมก็อยากชื่นชมครับ คนที่เขียนบทและกำกับแล้วพยายามใส่เรื่องนี้ลงไป ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและผมขอปรบมือให้เลยครับ แม้ผลลัพธ์จะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็เป็นย่างก้าวที่ดี ผมก็อยากให้พี่คนทำหนังมีกำลังใจต่อไป ลองฝึกฝนเพิ่มลีลาการเล่าเรื่องให้เขียนขึ้น นำเสนอให้น่าสนใจขึ้น แล้วก็คงสาระดีๆ แบบนี้ไว้ แล้วรับรองว่าสักวันพี่จะได้รับคำชื่นชมจากคนทั่วไปครับ
สำหรับฉากสุดท้าย ที่หนังมอบคำตอบว่า “แล้วหลวงพ่อจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่”… เป็นคำตอบที่ดีครับ ผมว่าดีมากทีเดียวล่ะ เป็นการสื่อถึงคำว่า “สวรรค์อยู่ในอก” ได้เป็นอย่างดี
คนที่ทำดี ใฝ่ดี หวังสร้างสิ่งดีๆ จนจิตใจผ้องแผ้วคิดแต่เรื่องดี… คนแบบนี้ได้อยู่บนสวรรค์ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ
แล้วคุณล่ะครับ อยากอยู่สวรรค์กันหรือไม่
สรุปนะครับ มันก็มีสาระดีๆ แทรกอยู่ แต่องค์ประกอบอื่นถือว่าธรรมดาครับ ไม่ขำมาก ไม่ลื่นเท่าไร ทีนี้ก็ต้องแล้วแต่คุณล่ะนะครับ อยากลองดูหนังหรือไม่ แต่ถ้าว่ากันถึงความคุ้มผมว่าไม่ได้เยอะมากสำหรับความเป็นหนังนะครับ อันนี้อยู่ที่คุณจริงๆ ครับ ที่ผมเขียนนั้นไม่ได้เชียร์ให้คุณต้องดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ เพราะมันยังไม่สมบูรณ์ขนาดนั้น เพียงแต่บอกเล่าความดีและไม่ดีของหนังให้ได้ทราบเท่านั้นเอง
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังไทย (Thai Movies), Comedy