เกม Prince of Persia นี่ถือเป็นอะไรในความทรงจำ เล่นตั้งแต่ภาคแรกๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์สมัย Window ยังไม่ถือกำเนิด สียังมีไม่กี่เฉด เราจะได้เห็นเจ้าชายแกเดิน วิ่ง โดดไปตามทางแคบๆ เพื่อหาทางออก บางทีก็ตกเหว บางทีก็โดนเหล็กพุ่งขึ้นมาแทง พร้อมส่งเสียงร้อง “เอื้อ!!!” ตอนเหล็กเสียบเข้าเนื้อ (“เอื้อ” นี่คือผมร้องนะครับ ในเกมไม่มี 555)
และที่จำได้แม่นสุดๆ คือฉากตกเหวครับ มันจะสำแดงภาพให้เห็นในฉบับ Director’s Cut กล้องจะแพนให้เราเห็นเจ้าชายร่วงตามความสูงจริง ประมาณว่ากลัวเด็กๆ จะไม่เข้าใจ นึกว่าเจ้าชายไม่ตายจริง เลยฉายให้เห็นเลยว่ามันร่วงมาสูงนะ ร่วงลงมาๆ แล้วก็แอ๊ก!! ร่างแหลกคาพื้น ซึ่งเป็นอะไรที่สร้างความตื่นตาค่อนข้างมาก เพราะเกมสมัยก่อนเวลาตกเหวเราจะไม่ได้เห็นว่ามันตกไปไหน หลุมลึกแค่ไหน ตายจริงไหมหรือแค่บาดเจ็บอย่างใน Super Mario และ Rockman แต่กับเกมนี้ได้เห็นศพเจ้าชายจะๆ (และเห็นบ่อยมาก เพราะตายบ่อยเหลือเกิน โดดไม่พ้นสักที 5555)
แอบแปลกใจตัวเองนิดๆ ว่าทำไมถึงตื่นตากับเกมนี้ ทั้งที่หากเทียบกันแล้วเกม Famicom สมัยก่อนก็มีเฉดสีสวยกว่า เคลื่อนไหวได้พริ้วกว่า พอนึกๆ ไปก็เข้าใจ “ความอยากแบบเด็กๆ” เลยครับ เห็นของใหม่เมื่อไรความอยากความสนใจจะแซงหน้าทุกเหตุผลทันที มันจะดีกว่าของเก่าหรือไม่เราจะไม่ถือเป็นประเด็น แค่ว่ามันแปลกไม่คุ้นตา และเล่นสนุกได้ เท่านั้นถือว่าเข้าแก๊ปอยากได้ทุกที
แล้วค่ายเกมก็จับเจ้าชายเราไปทำภารกิจใหม่ๆ (ตกเหวใหม่ๆ) เรื่อยมาครับ และด้วยความดังทนดังนาน อีกทั้งพล็อตที่สามารถดัดแปลงเป็นหนังได้ Prince of Persia จึงถึงกำเนิดเป็นหนังในที่สุด
ถ้าวัดที่รายได้ หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมาย แม้จะทำเงินไป $335 ล้าน จากทั่วโลก แต่ถ้าเทียบกับทุนสร้าง $200 ล้านก็ถือว่ายังติดตัวแดงอยู่ไม่น้อย
ด้านตัวหนังนั้น ยอมรับเลยครับว่าตอนดูรอบแรกผมเฉย คือมันดูได้เพลินๆ แต่ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ครั้นพอเอามาเปิดใหม่ดูแก้เหงาก็รู้สึกชอบมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะเรามีเวลามาจับจ้องทบทวนของดีหลายอย่างที่หนังมี
ดาราถือว่าเลือกมาดีครับ เหมาะกับบท Jake Gyllenhaal หน่วยก้านได้ เล่นดราม่าก็ได้, Gemma Arterton ก็ดูมีเสน่ห์จับตาจับใจ, Ben Kingsley นี่ก็หายห่วงอยู่แล้วครับกับบทสไตล์นี้ (สไตล์ไหนใครยังไม่ดูลองไปหาคำตอบดูนะครับ แต่เชื่อว่าท่านเดาได้) Effect ในเรื่องก็ Work โดยเฉพาะตอนท้ายไคลแม็กซ์นั่นทำได้เนียนและได้อารมณ์หนังผจญภัยดีครับ ตื่นเต้นดี
ผมลองมาถามตัวเองว่าแล้วทำไมรอบแรกดูแล้วนิ่ง ก็ได้คำตอบว่าเพราะพล็อตมันค่อนข้างเดาได้ครับ และการเดินเรื่องโดยมีทะเลทรายเป็นฉากหลังนั้นถ้าไม่มีลูกเล่นพอมันก็จะไม่มีอะไรดึงดูด ซึ่งสิ่งที่หนังเป็นก็ถือว่ามีอะไรดึงดูดน้อยไปหน่อย
ทีนี้พอพล็อตแบบเดาได้มาเจอกับการเดินเรื่องแบบ “ยังใส่สีสันลงไปได้” ผลก็เลยทำให้ไม่รู้สึกประทับใจต่อหนังเท่าที่ควร
ส่วนของดีที่ผมชอบในเรื่องตอนดูรอบหลังคือชุดนุ่งน้อยของ Arterton เอ้ย ไม่ช่าย ที่ผมชอบคือการสอดแทรกประเด็นว่าด้วยความเป็นพี่น้อง และการดูแลปกครองอาณาจักร ซึ่งผมว่ามันน่ารู้ครับ
เพราะจริงๆ แล้วจุดเริ่มแรกของการดูแลผู้อื่นก็คือการรู้จักดูแลตนเอง ปกครองตนเองให้สำเร็จ ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ ไม่เอาแต่เชื่อคำคนอื่นโดยไม่ไตร่ตรอง ถ้าเรารู้อะไรมาก็ควรสืบหาข้อมูลความจริงเพื่อที่เราจะได้ตัดสินใจเกี่ยวกับมันอย่างถูกต้อง อย่างเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะเหล่าเจ้าชายแห่งเปอร์เซียไม่เสาะหาความจริงให้ถ่องแท้ จนได้หลงทำตามแผนของคนโกงและก่อให้เกิดหายนะตามมามากมาย
เรื่องต่อมาคือต้องมีความรับผิดชอบ ยืดอกรับในสิ่งที่ตนทำ อะไรถูกก็ว่าถูก อะไรผิดก็ว่าผิด ถ้าผิดก็ต้องแก้ไข และหากลงมือแก้ไขก็ต้องแก้จนถึงที่สุด
อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกชื่นชมคือ Gyllenhaal กับการแสดงที่อาจไม่ได้เด่นในเชิงแอ็กชัน แต่ดราม่าผมว่าได้เลยครับ ตัวละครเจ้าชายดัสแทนของเขามีพัฒนาการ จากตอนแรกที่เป็นแค่เจ้าชายจอมผยอง แต่พอผ่านเรื่องราวต่างๆ เขาเรียนรู้และเข้าใจผลร้ายของเหตุุการณ์ เมื่อทุกอย่างผ่านไป เขากลายเป็นอีกคน เป็นเจ้าชายผู้องอาจ ไม่ผลีผลาม ที่ชอบเป็นพิเศษคือการปฏิบัติตนต่อสตรีครับ เขากลายเป็นเจ้าชายผู้งามสง่าและรู้จักให้เกียรติผู้อื่น… ดูเท่ห์นะผมว่า
Prince of Persia: The Sands of Time จึงเป็นหนังที่ทำได้ไม่เลวครับ ดูเพลินตามมาตรฐาน แต่ยังไม่ถึงขั้นสนุกมากมาย กระนั้นหนังก็ถือว่ามีดีในเรื่องสาระเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าเก็บไปไตร่ตรอง ซึ่งไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเป็นผู้นำหรือมีอำนาจปกครองแล้วค่อยสนใจไตร่ตรองหรอกครับ มันคือเรื่องที่ควรรู้และควรบอกตัวเองเสมอ เพราะอย่างน้อยเราก็ต้องดูแลและปกครองตัวเราเอง ใครมีครอบครัวพ่อแม่ลูกเมียก็ต้องรับหน้าที่ประมาณนี้เหมือนกัน ดังนั้นสาระในเรื่องก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่านำไปขบคิด เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำให้กับตนเอง
อย่างน้อยนำชีวิตตนเองได้ ปกครองสภาวะอารมณ์ของตนเองอย่างมีสติ แค่นี้ก็เป็นผู้นำที่ดีไปได้กว่าครึ่งแล้วครับ
หนังกำกับโดย Mike Newell ผู้กำกับชาวอังกฤษที่มักทำหนังที่มีความเป็นอังกฤษได้ดี เช่น Harry Potter and the Goblet of Fire และ Four Weddings and a Funeral สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าผิดฟอร์มมากมายครับ เพียงแต่หนังว่าด้วยการผจญภัยในเปอร์เซียแบบนี้อาจยังไม่ใช่ผลงานที่ Newell ถนัดเท่านั้นเอง
ดูได้สนุกๆ ครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Fantasy