
คอหนังรุ่นเก่าหลายคนคงคุ้นเคยกับซีรี่ส์ “สิงห์สำอางค์” ที่ Roger Moore นำแสดงนะครับ เรียกว่าก่อนเขาจะมาดังไปกับบทเจมส์ บอนด์ยุคอุปกรณ์เยอะนั้น เขาก็ดังมาจากบทไซม่อน เทมปลาร์ นักจารกรรมที่เชี่ยวชาญด้านการปลอมแปลงตัวเอง ซึ่งหนังก็สร้างจากนิยายยอดนิยมของ Leslie Charteris
ผมเองก็เคยได้อ่านฉบับแปลไทยนะครับ อ่านจากห้องสมุดที่จุฬาครับ ภาษาที่ใช้อาจเก่าแต่เนื้อเรื่องก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย (แต่เดาว่าคงไม่มีใครเอามาทำเป็นเล่มใหม่ ยกเว้นโชคดีจริงๆ)
หลังจาก The Saint ชุดนั้นดังก็มีการเล็งเป็นระยะๆ ครับว่าจะมีการทำเป็นหนังใหญ่ อย่างกลางยุค 80 ก็มีข่าวลือว่ามีคนทาบทามให้ Pierce Brosnan มารับบทไซม่อนฉบับหนังใหญ่ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
แล้วก็มาถึงต้นยุค 90 ทาง Paramount Pictures ก็ได้สิทธิ์มาครับ โดยมี Robert Evans แห่ง Chinatown นั่งแป้นอำนวยการสร้าง เขียนบทโดย Steven Zaillian (Schindler’s List, Clear and Present Danger และ Mission: Impossible ภาคแรก) กำกับโดย Sydney Pollack (Three Days of the Condorและ Out of Africa) และมีการทาบทามให้ Ralph Fiennes ที่ตอนนั้นกำลังดังจาก Schindler’s List และ Quiz Show มารับบท ไซม่อน เทมปลาร์ ด้วยสนนค่าตัวที่ 1 ล้านเหรียญ แต่ Fiennes ก็บอกปัดไปครับ ในภายหลังเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจริงๆ เขาก็สนใจหนังเรื่องนี้ เพราะมันมีฉากการไล่ล่าด้วยรถที่เร้าใจ และยังมีไคลแม็กซ์เป็นการเจาะเข้าไปจารกรรมในธนาคารสวิสอีกด้วย
แต่พอเขาไม่เล่นโปรเจคท์ก็หยุดชะงักลง โดยที่ Evans ก็โบกมืออำลาจากเก้าอี้อำนวยการสร้างในเวลาต่อมา (แต่ชื่อเขาก็ยังคงปรากฏในเครดิตหนังฉบับนี้อยู่ครับ)
แม้โปรเจคท์จะชะงักแต่ก็ยังมีคนมารับช่วงต่อครับ นั่นคือผู้อำนวยการสร้าง David Brown แห่ง (Jaws และ Driving Miss Daisy) โดยเขาได้เรียกให้ Jonathan Hensleigh ที่ตอนนั้นดังจาก Die Hard with a Vengeance ก็มาร่ายบทใหม่ ซึ่งก็คือบทที่เราเห็นในหนังนั่นเองครับ เป็นหนังจารกรรมผสมทริลเลอร์ บวกด้วยการเมืองหน่อยๆ ส่วนคนกำกับก็กลายมาเป็น Phillip Noyce ที่มีผลงานแอ็กชั้น ทริลเลอร์การเมืองอย่าง Patriot Games และ Clear and Present Danger อยู่ในทำเนียบหนังทำเงิน
แล้วก็มาถึงขั้นตอนการสรรหาผู้จะมารับบทไซม่อน เทมปลาร์ นักโจรกรรมที่มักจะใช้นามแฝงเป็นนักบุญเสมอ คนแรกในลิสต์คือ Hugh Grant แต่รายนี้ก็ปฏฺิเสธไปหลังจากนั่งสนทนากับ Noyce ผู้กำกับแล้วรู้สึกว่ามีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องคาแรคเตอร์ตัวละคร
ในขณะที่คนที่ Noyce อยากให้มาเป็นไซม่อนมากๆ ก็คือ Mel Gibson ครับ ซึ่งจริงๆ Gibson ก็สนใจด้วยนะครับ แต่เผอิญว่าตอนนั้นเขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำอันยาวนานของ Braveheart ที่เขานำแสดงและกำกับเอง ว่าง่ายๆ คือยังไม่หายเหนื่อยครับ Gibson เลยจำต้องบอกปัดบทนี้ไป
ถัดจากนั้นก็มี Kenneth Branagh, George Clooney, Daniel Day-Lewis, Arnold Schwarzenegger, Kevin Costner และ Johnny Depp แต่ก็ไม่มีใครยอมรับเล่น จนกระทั่งมีการทาบทาม Val Kilmer ที่ตอนนั้นเขากำลังตัดสินใจไม่รับบทแสดงเป็นแบทแมนต่อในภาค Batman & Robin และเขาก็สนใจบทนี้มากๆ ครับ จน Noyce เรียก Wesley Strick มาช่วยเกลาบทใหม่ให้เข้ากับสไตล์คาแรคเตอร์ของ Kilmer มากขึ้น แล้วก็เสริมประเด็นการชิงอำนาจทางการเมืองลงไปอีกหน่อย
The Saint ฉบับนี้เลยแตกต่างจากของเก่าจาก “สิงห์สำอางค์” เป็น “สิงห์จริงจัง” เนื้อหาค่อนข้างเครียดกว่าฉบับเก่าแต่ก็ไม่ได้เครียดถึงขั้นหนักหนาครับ โดยไซม่อน เทมปลาร์ (Kilmer) คือจอมโจรนักปลอมแปลงที่รับงานโจรกรรมทั่วราชอาณาจักร โดยเขาหมายมั่นว่าถ้าเขาทำเงินได้ถึง 50 ล้านเหรียญเมื่อไรก็จะเลิก (ซึ่งก็ใกล้เต็มที)
และงานล่าสุดของเขาก็ได้รับการว่าจ้างจากอีวาน ทรีเทียค (Rade Serbedzija) เจ้าพ่อใหญ่ของรัสเซียที่ต้องการสูตรปฏิกิริยาโคลด์ ฟิวชั่น อันจะเป็นแหล่งพลังงานอันไร้ขีดจำกัดที่ทำให้เขาทำเงินได้อย่างมหาศาล และสูตรที่ว่าก็อยู่ที่ ดร.เอ็มม่า รัสเซลล์ (Elisabeth Shue) ไซม่อนเลยรับงานและคิดว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ขโมย ส่งของ แล้วจบ แต่เขาไม่รู้เลยครับว่างานครั้งนี้มันยากเย็น เนื่องจากมีด่านสำคัญด่านหนึ่งที่ยากจะฝ่าไปได้
ด่านที่ว่าก็คือ ความรัก
ตัวหนังเองจะว่าไปแล้วก็ดูสนุกดีครับ มีครบทั้งแอ็กชัน ทริลเลอร์ ความตื่นเต้น การหักเหลี่ยม และเรื่องโรแมนติก เพียงแต่ว่าสรรพสิ่งที่ผมกล่าวไปนั้นมันยังปรุงรสไม่ถึงเครื่องสักเท่าไร เข้าข่าย “ดีได้อีก” น่ะครับ ยิ่งถ้าเปรียบกับงานชิ้นก่อนๆ ของ Noyce อย่าง Patriot Games และ Clear and Present Danger แล้ว จะรู้สึกได้ว่า The Saint ยังขาดลูกเล่นในบางช่วง และการเล่าเรื่องก็ยังไม่เนียนเต็มที่ บางช่วงก็เหมือนหนังเล่าแบบโดดๆ ไม่ต่อเนื่องอยู่เหมือนกัน
แต่ยังดีครับที่ดาราแสดงได้ดี Kilmer ถือว่าไปได้ดีกับบทนี้ครับ ตอนแกแปลงโฉมก็ทำได้เนียนทีเดียว เปลี่ยนทั้งสำเนียง อารมณ์ และท่าทาง แต่คนที่ฉายเสน่ห์มากกว่าคือ Shue ที่ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม และมีสมอง จนไม่แปลกใจเลยครับที่ไซม่อนจะรักเธอ ทั้งเก่ง รักศิลปะ โอบอ้อมอารี มีอารมณ์ขัน ขนาดตอนเศร้าก็ยังละลายใจคนได้ จนบอกได้เลยครับว่าถ้าหนังเรื่องนี้ขาดเธอไปคนล่ะก็ พลังคงดร็อปลงไปไม่น้อยเลยล่ะ
และอีกคนที่ไม่ชมไม่ได้คือ Serbedzija ที่เป็นทรีเทียคได้เหมาะสมสุด เขาดูเห็นแก่ตัว หุนหัน แต่ก็ไม่ได้โง่ จริงๆ พี่แกก็ฉลาดพอตัวล่ะครับ เพียงแต่บทไม่ค่อยได้เปิดโอกาสให้ขับเคี่ยวทางสมองกับไซม่อนสักเท่าไร
และในช่วงท้ายนั้นจริงๆ ในบทดั้งเดิมจะไม่ได้จบแบบที่จบในหนังหรอกครับ กล่าวกันว่ามีการแปลงบทไปถึง 1 ใน 3 เพราะการฉายรอบทดลองนั้นคนดูไม่โอสักเท่าไร ถ้าอยากทราบผมจะเล่าให้ฟังนะครับ มันสปอยล์แน่นอน ถ้าไม่อยากทราบอย่าอ่านข้อความใต้เส้นข้างล่างนะครับ
===สปอยล์ละนะครับ===
ตอนไคลแม็กซ์ต้นฉบับจะไม่เหมือนในหนังครับ คือตอนที่อีวานทำท่าจะหนีจากงานแถลงแฉเรื่องโคลฟิวชั่น ถ้าเป็นในหนังมันจะลงเอยด้วยการที่อีวานหนีไม่รอด โดนรวบตรงนั้น แต่หากเป็นฉบับเดิม อีวานกับอิลยา ลูกชายของเขา (Valeriy Nikolaev) จะหนีกลับคฤหาสน์ไปได้ครับ
พอกลับไปถึงอีวานก็สังหาร ดร. เลฟ บอทวิน (Henry Goodman) ที่บังอาจไปช่วยไซม่อน แต่แล้วไม่นานอีวานก็โดนอิลยาฆ่าตาย ประมาณว่าอิลย่าก็อยากรวบอำนาจจากพ่อเหมือนกัน แล้วจากนั้นไซม่อนก็เข้ามาซัดกับอิลยาครับ อันนำมาสู่ฉากแอ็กชันระเบิดคฤหาสน์ จนไฟลุกทั้งหลัง แล้วไซม่อนกับอิลย่าก็ไปบู๊กันต่อบนโคมระย้า ก่อนที่การต่อสู้จะลงเอยที่ไซม่อนชนะ ซัดอิลย่าตกลงในกองไฟ ส่วนไซม่อนก็จะได้ค้นพบฐานใต้ดินของคฤหาสน์ทรีเทียคที่ซ่อนน้ำมันเอาไว้มากมาย
จริงๆ ได้ข่าวว่าจะมีฉบับที่เอ็มม่าตายด้วยครับ ประมาณว่าตายตั้งแต่หนังเดินเรื่องไปได้ 2 ใน 3 เพื่อปูเรื่องราวให้ไซม่อนแค้นตระกูลทรีเทียค และมาบู๊กันเต็มๆ ในตอนหลัง แต่ก็ได้ข่าวว่าคนดูรอบทดลองไม่ชอบ (ซึ่งผมก็พอเข้าใจนะ เพราะบทของเอ็มม่านั้นถือเป็นเสน่ห์สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งของหนังเลย การฆ่าตัวละครนี้เลยย่อมจะทำให้คนดูไม่ยอมรับ) เลยมีการเปลี่ยนแปลงจนได้ตอนจบแบบที่เห็น แต่ก็จะมีบางประเทศครับที่มีฉบับ Director’s Cut ออกมา แล้วก็มีฉากที่ผมเล่าไปใส่ลงไปแทนในตอนไคลแม็กซ์
=== หมดสปอยล์ครับ ===
จุดเด่นอีกอย่างคือการเอาบรรยากาศหนาวเหน็บของมอสโคว์มาถ่ายทอดได้ดีครับ ดูไปก็อดจะรู้สึกหนาวด้วยไม่ได้ ดนตรีของ Graeme Revell ก็เข้ากับบรรยากาศหนาวๆ ปนโจรกรรมได้ดี และที่ติดหูมากๆ ก็คือการเอาธีมดั้งเดิมของ The Saint มา Remix ใหม่โดย Orbital

ครับ ก็ดูได้เพลินๆ เพราะจริงๆ พล็อตเรื่องก็จัดว่าน่าสนใจ ผมชอบเนื้อหานะ ทั้งพล็อตใหญ่ที่ว่าด้วยการจารกรรมสูตรพลังงาน แล้วก็บานปลายไปเกี่ยวเรื่องการเมือง แต่การเล่าเรื่องยังไม่จับใจพอ ส่วนพล็อตรองที่ว่าด้วยความรักระหว่างไซม่อนกับเอ็มม่านั้นถือว่าดีกว่าที่คาด ส่วนหนึ่งก็คงเพราะความน่ารักของ Shue ด้วยล่ะครับ
ซึ่งเนื้อเรื่องส่วนนี้ผมว่าคิดมาได้ดีนะ มันทำให้ไซม่อนมีมิติ ไม่ใช่แค่โจรไร้ใจหรือโปรยเสน่ห์สาวไปเรื่อย แต่เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เคยสูญเสียของมีค่าอันแท้จริง (ความรัก) เลยเลือกจะใช้ชีวิตในเงามืดขโมยไปเรื่อย ยิ่งเขาอยู่โดดเดี่ยวนานเท่าไรก็ยิ่งว้าเหว่ที่ภายใน จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับเอ็มม่า ซึ่งในหนังเราอาจรู้สึกว่าเอ็มม่าหลงเสน่ห์ไซม่อน (ตอนปลอมตัวเป็นกวีหนุ่ม) แต่หากมองสรุปรวมแล้ว จะพบว่าไซม่อนนั่นเองที่หลงรักเอ็มม่า โดยที่เธอไม่ต้องเฟค ไม่ต้องแปลงหน้าหรือเปลี่ยนคาแรคเตอร์ใดๆ… เขารักเธอที่เธอเป็น และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องการเปลี่ยนจากโจรที่ทำเพื่อเงิน กลายเป็นโจรที่ทำเพื่อความถูกต้อง
บางครั้งคนเราต้องปลอมตัวเองเป็นร้อยโฉมเพื่อขโมยของสักสิ่งหนึ่ง
แต่สำหรับ “รักแท้” แล้ว มีเพียงโฉมเดียวที่จะทำให้คุณได้มันมา… โฉมหน้าที่มาจากตัวจริงของคุณ
มีเกร็ดเล็กๆ ที่อยากนำมาบอกเล่าครับ อย่างแรกเลยคือบทกวีที่โธมัส มัวร์ (ตัวตนหนึ่งของไซม่อนตอนเข้าหาเอ็มม่า) เขียนนั้น Kilmer เป็นคนแต่งเองครับ และเสียงประกาศทางวิทยุในตอนจบของเรื่องนั้น เป็นเสียงของ Roger Moore ไซม่อน เทมปลาร์คนก่อนเก่านั่นเอง ส่วนในเรื่องของรายได้นั้นถือว่าไม่เข้าเป้าครับ หนังลงทุนไปราว $68 ล้าน ได้คืนมา $118 ล้านจากทั่วโลก ซึ่งอาจจะพอโปะทุนได้ แต่ก็ไม่ได้กำไรอย่างที่ค่ายหนังหวังไว้
ก็เป็นผลงานที่ดูได้ครับ โดยเฉพาะความน่ารักของ Shue ที่น่ารักมากๆ เอาแค่แววตาของเธอตอนตบหน้าไซม่อนนั่นก็ทำให้ใจสะเทือนได้แล้วล่ะ มันบ่งบอกออกมาชัดมากๆ ว่าเธอเสียใจมากขนาดไหนที่ไซม่อนหลอกลวงเธอ แต่ขณะเดียวกันเธอก็รักเขาอย่างมากด้วย – เรียกว่าการตบหนนั้นคือการตบเพราะรักจริงๆ – เพียงแต่หลายส่วนถ้าดีกว่านี้ก็จะแจ๋วมาก และการเล่าเรื่องถ้าตีให้เนียนเป็นเนื้อเดียวได้ก็จะแจ๋วขึ้นไปอีก อันนี้ไม่อยากโทษทีมงานครับเพราะหนังต้องเปลี่ยนเรื่องไปตั้ง 1 ใน 3 แน่ะ ดังนั้นหากสรุปโดยคิดเอาข้อเท็จจริงมาพิจารณาประกอบด้วย ที่หนังเป็นก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่งครับ
สองดาวใกล้ครึ่งครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Movie Reviews, Romance, Romance Romance, Thriller










