Action

The Italian Job (2003) ปล้นซ้อนปล้น พลิกถนนล่า

The-Italian-Job-23

จำได้ตอน The Italian Job ออกฉาย รายได้เปิดตัวในอเมริกาเพียง $19 ล้าน จนผมคิดว่าหนังคงไปไม่ได้ไกล แต่ไปๆ มาๆ ดันยืนโรงโกยไปถึง $106 ล้านเสียอย่างนั้น ในใจก็เดาว่ามันต้องมีดีล่ะครับ ถึงทำได้ขนาดนี้ เพราะปกติหนังที่อาศัยคำพูดปากต่อปากจนดันรายได้ให้ถึงร้อยล้านได้ในสมัยโน้นนี่มักเป็นหนังชีวิตหวังออสการ์อะไรโน่น ไม่ค่อยเกิดกับหนังบู๊เท่าไหร่ ครั้นพอได้ลองลิ้มดู ปรากฏว่าชอบครับ

หนังรีเมกจากต้นฉบับเมื่อปี 1969 เป็นหนังแนวแอ็กชันผสมจารกรรมที่สนุกใช้ได้ครับ ฉบับนั้น Michael Caine แสดงนำ (สมัยนั้นพี่ท่านชอบเล่นหนังแนวสายลับหรือไม่ก็จารกรรมครับ เล่นบ่อยมาก) ส่วนเวอร์ชั่นใหม่นี้ผสมเอาเรื่องการล้างแค้นลงไปด้วย เกี่ยวกับกลุ่มจารชนที่นำโดย ชาร์ลี คร็อกเกอร์ (Mark Wahlberg) กับทีมอันประกอบด้วย จอห์น บริดเจอร์ (Donald Sutherland) แล้วยังมีสตีฟ (Edward Norton) โจรฉลาดที่ดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ พวกเขาทั้งหมดขโมยทองมูลค่า $35 ล้านมาได้ อะไรๆ น่าจะราบรื่น แต่นายสตีฟดันโกง เชิดทองหนีไปหมด

เมื่อเวลาผ่านไป ชาร์ลีก็เลยวางแผนพร้อมนำทีมกลับมาทวงทองคำพร้อมล้างแค้นให้สาสม

หนังถือว่ามีทีมดาราระดับแข็งแกร่งครับ มีหลายตัวละคร แต่เด่นพอกัน ขโมยซีนกันให้วุ่น ตั้งแต่ Wahlberg, Sutherland หรือ Norton รายหลังนี่เล่นได้ชั่วช้ามากครับ น่ากระทืบตลอดเรื่อง ที่สำคัญคือพี่แกดูมีสมองอีกต่างหาก ซึ่งก็นับว่าทำหน้าที่ได้เยี่ยมเกินคาด เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เจตนามาเล่นหนังเรื่องนี้หรอกครับ แต่เพราะพี่แกติดสัญญาต้องเล่นหนังกับ Paramont Pictures 3 เรื่อง (เรื่องแรกคือ Primal Fear ที่แจ้งเกิดให้กับเขา) แล้วพี่แกก็ผัดผ่อนเรื่อยมา จนเรื่องนี้ Paramont ต้องเชิญแกมบังคับให้มาแสดง ซึ่งก็แน่นอนว่า Norton ไม่ค่อยแฮ้ปปี้นักกับการแสดงครั้งนี้ เขาออกอาการไม่พอใจเป็นพักๆ รวมถึงมีการกระทบกระทั่งกับทีมงานระหว่างการถ่ายทำ

ว่ากันว่าพอหนังทำเงินสวยงามผู้อำนวยการสร้างก็ได้ทำการส่งของขวัญให้กับนักแสดงทุกคน แต่ Norton ได้คืนของขวัญชิ้นนั้นกลับไปพร้อมโน้ตที่เขียนว่า “Give this to someone you actually like – or someone who actually likes you.” – โดยสรุปก็คือแม้เขาจะไม่แฮ้ปปี้ แต่พี่แกก็แสดงได้ดีครับ (หรือลีลากวนโอ๊ยทั้งหลายนั้นจะมาจากอินเนอร์จริงๆ ก็ไม่รู้แฮะ)

ส่วนคนตามมาสมทบก็มี Charlize Theron เป็นสเตลล่า บริดเจอร์ ลูกสาวของจอห์นที่มาเพื่อคิดบัญชีสตีฟ Theron ก็เล่นได้เด่นดี และเป็นตัวละครหลักที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในเรื่องด้วย สวยกันเข้าไปครับเรื่องเนี้ย, Jason Statham มาเป็น ร็อบ ไอ้หล่อเจ้าเสน่ห์, Seth Green เป็น ไลล์ หรือ แน็ปสเตอร์ เซียนคอมมือฉมัง และ Mos Def เป็น เลฟ เอียร์

หนังทำได้น่าติดตามตลอดครับ คนที่ชอบแนววางแผนจารกรรมน่าจะสนุก เพราะมันวางแผนกันทั้งเรื่อง ใช้สมองกันตลอด แต่ถ้าใครอยากดูหนังบู๊แลกหมัดแอ็คชั่นกันกระจายก็อาจไม่สมหวังนัก เพราะเรื่องนี้เขาตีกันด้วยหัวคิดครับ เอาปัญญามาประลองกัน ส่วนฉากขับรถก็ไล่ล่ากันอย่างมันส์ สะใจใช้ได้ โดยเฉพาะการเอารถมินิคูเปอร์มาใช้งาน เอาเฉพาะสีรถก็เด่นอยู่แล้ว ตอนเอามาใช้งานก็ดูน่ารัก กะทัดรัดดี แล้วยังดูไม่เว่อร์ด้วย เพราะรถมันปราดเปรียว เลี้ยวไปได้ทุกที่ แต่ตะขิดตะขวงใจนิดหนึ่ง ช่วงท้ายตอนเริ่มแผน ช่วงไคลแม็กซ์นั้น พวกชาร์ลีเอารถมินิมาจอดเรียงกันสามคันซ้อนในจุดที่จะมีการปล้นด้วย ก็ไม่เข้าใจว่าวายร้ายมันจะไม่เฉลียวใจเลยรึไง อีกอย่างพวกพระเอกก็ประกาศใส่หูพี่สตีฟแบบโต้งๆ อยู่แล้วว่าอั้วปล้นลื้อแน่ – แต่ก็เอาเถอะครับ อย่าคิดมาก ดูเอาสนุกพอ

ก็ต้องชื่นชมผู้กำกับ F. Gary Gray ด้วยล่ะครับ ยุคนั้นมือเขากำลังขึ้น ตั้งแต่ดังจาก Set it Off แล้วต่อด้วย The Negotiator เขาก็จัดว่าทำหนังได้เข้มข้นดีครับ และงานนี้ดูเขาจะแน่ขึ้นด้วย เพราะตอนทำ The Negotiator แกยังไม่แม่นเรื่องฉากบู๊ พอมาเรื่องนี้แม่นขึ้นเยอะเลยครับ เลยออกมามันส์ได้ระดับขนาดนี้

ส่วนตัวหนังเองก็แปลงไปจากต้นฉบับพอตัว ให้มันเข้าสมัยขึ้น แล้วก็เนื้อเรื่องมีความซับซ้อนขึ้น ประเภทเพิ่มตัวร้ายให้เก๋าเก่งกว่าเดิม ซึ่งตอนแรกทีมเขียนบท Neal Purvis และ Robert Wade ได้เขียนบทเดิมไว้โดยอิงจากต้นฉบับแบบเด้ะๆ แต่แล้วก็มีการเอามาเกลาใหม่โดย Donna Powers และ Wayne Powers ซึ่งสองคนหลังนี้ไม่เคยดูต้นฉบับเลยครับ พวกเขาเลยเขียนออกมาคนละแนวทางกับบทดั้งเดิมไปเลย แต่ก็นับเป็นเรื่องดีครับ เพราะแนวใหม่นี่มันมันส์เข้าสมัยกว่ากันเยอะ

สรุปคือถ้าท่านชอบแนวจารกรรมใช้สมองกันแบบ Sneakers หรือ The Score ก็น่าจะชอบล่ะครับ สนุกแน่นอน ในแง่รายได้ก็ถือว่าทำไปไม่น้อย ลงทุนราว $60 ล้าน ได้คืนมาจากทั่วโลก $176 ล้าน และจริงๆ หนังทำท่าจะมีภาคต่อด้วยครับ อันเนื่องมาจากการที่หนังทำเงินในระดับที่น่าพอใจ เลยมีการวางแผนทำภาคต่อในชื่อ The Brazilian Job ชื่อก็บอกครับว่างานนี้ไปบู๊กันที่บราซิลแน่นอน และดาราตัวหลักๆ อย่าง Wahlberg, Theron, Statham และ Green ได้รับการทาบทามให้กลับมาครบหมด แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นบทที่เขียนออกมายังไม่น่าพอใจเท่าไร หนังเลยไม่ได้ทำออกมา แม้ในปี 2015 Wahlberg จะออกมาให้ความหวังว่ายังมีโอกาสสร้างอยู่ก็ตาม แต่จนถึงตอนนี้ภาคต่อก็ยังไม่มาครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)