
นี่ถือเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของหนังแฟรงเกนสไตน์ครับ แต่ไม่ใช่สไตล์เดิมๆ นะครับ มันมีการผสมผสานผูกเรื่องใส่สิ่งใหม่ๆ และเติมจินตนาการลงไปด้วย
เรื่องเริ่มต้นที่โลกยุคอนาคต นักวิทยาศาสตร์ชื่อ โจ บิวแชนเนน (John Hurt) ได้ทำการทดลองมหาอาวุธชนิดใหม่ขึ้นมา แต่แล้วมันกลับก่อให้เกิดผลข้างเคียงถึงระบบนิเวศน์บนโลก แล้วยังทำให้เกิดประตูกาลเวลาอีกต่างหาก แล้วโจก็หลุดเข้าไปในประตูนั้นครับ
ประตูที่ว่าพาเขาย้อนเวลาไปปี 1817 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วที่นั่นเองที่เขาได้พบกับชายชื่อ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ (Raul Julia) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้สร้างอสูรในตำนานขึ้นนั่นเอง ชาวบ้านก็ต่างขวัญผวาเพราะร่ำลือกันว่าอสูรนั้นเดินเพ่นพ่านทั่วหมู่บ้าน แล้วมันยังฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม (หนึ่งในนั้นก็คือน้องชายคนเล็กของวิคเตอร์) ซึ่งการที่วิคเตอร์เดินทางมายังแถวหมู่บ้านนี้ก็เพื่อสืบหาและต้องการกำจัดเจ้าอสูรที่เขาสร้างมากับมือด้วยตนเอง
โจนั้นก็ได้เป็นสักขีพยานเรื่องเหล่านี้โดยตลอดครับ แล้วจากนั้นเขาก็มีโอกาสได้พบกับแมรี่ โวลสโตนคราฟ กู๊ดวิน (Bridget Fonda) สาวน้อยผู้รักการเขียนอย่างยิ่ง… คุณคงเดาออกใช่ไหมครับ เธอก็คือแมรี่ แชลลี่ย์คนแต่งนิยาย Frankenstein ในเวลาต่อมานั่นเอง
ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นผมก็อยากให้ลองหาโอกาสชมกันนะครับว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร วิคเตอร์จะสามารถกำจัดอสูรได้แบบในนิยายหรือไม่ และโจจะเดินทางกลับโลกที่เขาจากมาได้อย่างไร บอกได้แค่ว่าตอนจบน่ะไม่ใช่แบบในนิยายหรอกครับ แต่มันล้ำจินตนาการกว่านั้นพอสมควร
จัดเป็นหนังที่น่าสนใจมากนะครับ มันสร้างจากนิยายของ Brian Aldiss ซึ่งจัดการเอาตำนาน Frankenstein มาดัดแปลงใหม่ ใส่ความเป็นไซไฟและโลกอนาคตลงไปด้วย ซึ่งโดยรวมผมว่าโอเคเลยล่ะครับ โดยเนื้อหาแล้วก็พล็อตนะ มันชวนลุ้นดีว่ามันจะนำพาเราไปไหน ต่อไปจะเจอกับอะไร แต่ผมก็ยังไม่เคยได้อ่านนิยายนะครับ คาดว่าน่าจะสนุกใช้ได้เลยล่ะ นี่ก็หามานานแล้วยังไม่ได้อ่านสักที
โดยพล็อตนั้นโอเคครับ แต่สำหรับตัวหนังนั้นถ้าถามว่าลื่นไหม ก็คงต้องบอกว่ายังไม่ทั้งหมด ส่วนสำคัญที่ทำให้หนังน่าติดตามในระดับหนึ่งก็คือการแสดงของดาราคุณภาพนะครับ ทั้ง Hurt, Julia แล้วก็ Fonda และอีกคนที่ลืมไม่ได้ก็คือ Nick Brimble ในบทอสูรของแฟรงเกนสไตน์ที่เวอร์ชั่นนี้รูปลักษณ์ของอสูรก็น่ากลัวดีล่ะครับ นอกจากนี้ยังมีนักแสดงรับเชิญอย่าง Michael Hutchence นักร้องดังวง INXS มาแสดงเป็นเพอร์ซี่ แชลลี่ย์ด้วย

นอกจากพลังดาราและพล็อตที่แปลกใหม่แล้ว ความสนุกตื่นเต้นต่างๆ ก็จัดว่าไม่เลวครับ เพียงแต่มันยังไม่สุดๆ ดูๆ ไปแล้วอารมณ์มันยังกั๊กๆ อยู่ คือดูแล้วไม่ผิดหวังนะ แต่ก็ติดในใจลึกๆ ว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้น่า อันนี้ก็ยกความรับผิดชอบให้ผู้กำกับนะครับ เขาคือ Roger Corman เจ้าพ่อหนังเกรดบีนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นงานกำกับเรื่องสุดท้ายของเขา ก่อนที่จะมานั่งแป้นเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่างเดียว จริงๆ ถือเป็นงานทิ้งทวนที่น่าสนใจนะครับ แต่ยังไม่ยอดเยี่ยมจนน่าจดจำสักเท่าไร
กระนั้น หนังก็ยังมีสาระที่น่าสนใจทีเดียวล่ะครับ ว่าด้วยความรับผิดชอบของนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ซึ่งบางครั้งสิ่งที่พวกเขาประดิษฐ์มันก็มีผลเสีย เป็นดาบสองคมที่อันตรายอย่างสุดขีด อย่างโจที่ประดิษฐ์อาวุธหวังจะให้มันเป็นเครื่องรักษาความสงบ แต่ผลของมันกลับทำลายโลกได้สบายๆ เช่นเดียวกับการทดลองเพื่อคืนชีวิตให้มนุษย์ของวิคเตอร์ ที่กลายเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่สำหรับตระกูลแฟรงเกนสไตน์และคนทั่วไป
แล้วก็ย้อนมองดูโลกในปัจจุบันครับ ความเสียหายที่เกิดจากการประดิษฐ์สิ่งสักสิ่งหนึ่งขึ้นมาแล้วไม่ติดตามผลดีผลเสีย ไม่คิดให้ถ้วนถี่ก่อนนำมาใช้มันเกิดขึ้นจริง ทำให้โลกร้อนบ้าง ทำให้ระบบนิเวศน์ชำรุดบ้าง เฮ่อ สิ่งที่ต้องจ่ายสำหรับความก้าวหน้านี่มันช่างราคาแพงเสียเหลือเกิน
แต่อย่างน้อยนะครับ ในหนังทั้งโจและวิคเตอร์ต่างก็พยายามแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดไป พยายามยุติความเสียหายที่ตนก่อขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ก็ถือว่ามีความรับผิดชอบดีทีเดียวครับ ซึ่งเจ้าความรับผิดชอบนี่แหละที่โลกเรากำลังต้องการอย่างยิ่งในเวลานี้
เกิดปัญหาแล้ว มันต้องแก้ไขครับไม่ใช่แก้ตัว
Frankenstein Unbound ก็ไม่ใช่หนังไซไฟสยองที่ยอดเยี่ยมนักหรอกครับ ขาดบ้างเกินบ้าง การเดินเรื่องยังอืดบ้างช้าบ้าง ไม่ลงตัวยเต็มร้อย แต่มันก็มีอะไรใหม่ๆ น่าสนแทรกอยู่ในเนื้อเรื่อง แต่ที่ผมชอบที่สุดหนีไม่พ้นสาระเกี่ยวกับ “ความรู้จักสำนึกรับผิดชอบ ต่อผลดีและผลเสียของประดิษฐกรรมที่เราสร้างขึ้น” ซึ่งไม่ใช่หมายถึงนักวิทยาศาสตร์เท่านั้นหรอกนะครับ มันสื่อถึงพวกเราด้วย เตือนให้เรารู้จักระลึกถึงผลแห่งการกระทำของเราให้ดี อย่าทำโดยไม่ยั้งคิดให้ถ้วนถี่
มาช่วยกันรับผิดชอบโลกน้อยๆ ใบนี้ด้วยกันเถอะนะครับ
สองดาวกว่าๆ ค่าความสร้างสรรค์ครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Horror, Monster Movies, Movie Reviews, Sci-Fi










