
ครับ เดาได้ไม่ยากใช่มั้ยครับว่าพอหนังภาคแรกดังซะ ก็เลยมีการทำตอนต่อออกมา (และก็มีมาอีกเรื่อยๆ ยาวเป็นสิบตอนไปเลย)
พอผ่านพ้นเหตุสยองที่แคมป์คริสตัล เลคไปแล้ว 5 ปีต่อมาก็มีหนุ่มสาวกลุ่มใหม่เดินทางย่างกรายมายังแคมป์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับคริสตัล เลคนั่น โดยมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องเมื่อหลายปีก่อนลอยมาเข้าหูพวกเขา แต่แน่ล่ะครับว่าพวกเขาไม่เชื่อหรอก จนกระทั่งพี่เจสัน วอร์ฮีส์ ตัวจริงเสียงจริงโผล่ออกมาไล่ฆ่าพวกเขา นั่นแหละถึงจะเริ่มวิ่งหนีกันเป็นเรื่องเป็นราว
ภาคนี้เป็นการเปิดตัวเจสัน แบบเต็มๆ ครับ หลังจากฆาตกรในภาคแรกได้ถูกฆ่าตายไป และเขาก็เห็นเหตุการณ์นั้นกับตาด้วย งานนี้เขาเลยออกเล่นเกมสังหารล้างแค้นทุกคนด้วยตนเอง
โดยรวมแล้วภาค 2 ยังคงเดินตามรอยภาคแรกอยู่ครับ สูตรก็คือมีกลุ่มวัยรุ่นมาแถวๆ คริสตัล เลค สนุกกัน หยอกล้อกัน ทำอะไรๆ กัน
แล้วก็เป็นศพกันไป ใครโชคดีก็หนีจากเจสันได้ในตอนจบ
แต่ผมชอบภาค 2 มากกว่านะครับ ออกจะชอบมากที่สุดในบรรดาหนังศุกร์ 13 ด้วย เพราะหนังมันเข้าที่ลงตัวขึ้น และยังมีการปูพื้นตัวละครที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะจินนี่ ฟิลด์ (Amy Steel) นางเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นผู้ช่วยฝึกอบรมชาวค่ายและเป็นที่ปรึกษาของแคมป์น่ะครับ เธอมีความรู้ทางจิตวิทยา นั่นจึงทำให้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอมีการมานั่งวิเคราะห์สภาพจิตของเจสันให้เราได้ฟังกัน แล้วเธอยังใช้ความรู้ด้านนี้ในการเอาตัวรอดในตอนท้ายด้วยครับ
บอกตามตรงเลยนะฮะ ดูหนังมานาน เพิ่งจะเข้าใจและเห็นชัดๆ ว่า “ปัญญาคืออาวุธ” ก็คราวนี้แหละ ที่ตัวเอกเอาความรู้ที่เรียนมาใช้สู้กับฆาตกรนี่ก็เพิ่งเห็นจะๆ เป็นครั้งแรกเลยล่ะครับ – สำหรับผมน่ะนะฮะ

ส่วนทีมดาราแม้จะไม่ดังนะครับ แต่ก็คัดสรรหนุ่มหล่อสาวสวยมาตามเรื่องตามราวน่ะแหละ ซึ่งคนที่เด่นก็คือ Steel นี่แหละครับ แสดงได้ดีและดูมีสมองด้วย อีกคนที่ผมปลื้มเป็นการส่วนตัวก็คือ Marta Kober ในบทแซนดร้า ไดเออร์ (สาวผมฟูที่คุณจะได้หเห็นตั้งแต่ต้นเรื่องน่ะครับ) เธอดูน่ารักและเซ็กซี่ประมาณหนึ่งเลยล่ะ 555 ผมก็พลอยเอาใจช่วยให้เธอรอดให้นานที่สุดล่ะครับ แต่ก็รู้ทั้งรู้น่ะแหละว่าสาวที่เซ็กซี่เกินไป จะมีผลอย่างไรในหนังไล่ฆ่าแบบนี้
ภาคนี้เจสันยังเป็นคนนะครับ ไม่ได้จมน้ำตายอย่างที่เรารู้มาในภาคแรก และเขาก็ยังไม่สวมหน้ากากฮ็อคกี้ด้วยครับ ภาคนี้แค่เอาถุงคลุมผ้าไล่ฆ่าชาวบ้านน่ะ
ผมว่าหนังมันน่าติดตามนะครับ แม้มันจะตามสูตร แต่เงามืดตามป่าเขาแถวคริสตัล เลค มันก็ยังน่าหวาดผวาอยู่ดี ดนตรีของ Harry Manfredini ก็มาตามแบบของ Bernard Herrmann แห่ง Psycho แบบเต็มๆ เลยครับ ก็ดูท่าว่าจะได้รับอิทธิพลมาเยอะพอดูเลยล่ะ
ก็ถือว่าหนังทำได้ดีไม่แพ้ตอนแรกครับ บรรยากาศยังให้อยู่ น่ากลัวและน่าติดตามดี สิ่งที่เข้าท่ามากขึ้นก็คือตัวละครที่มีมิติ มีการปูพื้นบอกคาแรคเตอร์ของแต่ละคน แล้วในตอนท้าย ตอนที่ตัวละครที่เหลือต้องสู้กับเจสันก็ทำได้น่าติดตามครับ มีลุ้นนะว่าจะเล่นงานเจสันได้หรือไม่ แล้วเราจะได้รู้สภาพจิตของเจสันแบบจริงจังก็ภาคนี้นี่เองครับ ซึ่งคนกำกับหนังตอนนี้ก็คือ Steve Miner ที่ได้ทำหนังภาค 3 ต่อด้วยนะครับ รายนี้ก็มีฝีมือดีครับ ทำหนังได้ไม่เลวนะ
รายได้ภาคนี้แม้จะน้อยลงจากคราวก่อน แต่ก็ยังกำไรใสๆ ครับ ทำเงินไปราว $21.7 ล้าน แต่ทุนเพิ่งจะ $1.25 ล้านเท่านั้นครับ
เป็นภาคต่อที่ใช้ได้ครับ สนุกทีเดียว คุ้มที่คอหนังสยองไล่ฆ่าจะตามมาดู
สองดาวใกล้ครึ่ง

(6.5/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Slasher Movies










