เอาล่ะครับ หนังชุดสุดสยองต่อไปนี้ เป็นหนังสยองโหดครับ ทั้งแหวะ สยอง ซาดิสม์ และโรคจิตครบสูตร (แต่ผมชอบมากกกก) ภาพในโปสเตอร์ก็มักจะเป็นตัวประหลาด ที่ดูดิบๆ น่ากลัวๆ ซึ่งอาจจะรบกวนจิตใจคนขวัญอ่อนได้นะครับ ดังนั้นถ้าขวัญไม่แข็งนัก ก็เตรียมใจนิดหรือไม่ก็ข้ามๆ ไปเลยแล้วกัน ส่วนพวกขวัญแข็ง ดิบๆ (คอเดียวกับผม) ก็ตามมาดูกันเลยครับ
ไม่ใช่เล่นๆ นะครับกับหนังสยองเรื่องนี้ กับภาคแรกของหนังสยองขวัญที่ผมชอบที่สุด ซึ่งที่หน้าปกของหนังก็คือพี่พินเฮด ปีศาจที่โด่งดังอีกตัวไม่แพ้พวกเจสันหรือเฟรดดี้นะครับ แต่บ้านเราอาจจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่า ทว่า ความสยองและใบหน้านี่น่ากลัวมากมายครับ
หนังว่าด้วยสิ่งของที่มีชื่อว่า Lament Configuration ซึ่งก็คือกล่องรูบิคที่ว่ากันว่าจะมอบความสุขสูงสุดแก่ผู้ที่เปิดมัน แล้วแฟรงค์ คอตตอน (Sean Chapman) ได้ซื้อมาครอบครองและเปิดมันจนสำเร็จ แต่เขากลับต้องเผชิญกับนรกที่สุดจะสยองจนถึงแก่ความตายไป
จากนั้นหลายปีต่อมา แลร์รี่ คอตตอน (Andrew Robinson) พี่ชายของแฟรงค์ได้ย้ายเขามาอยู่ในบ้านแฟรงค์ พร้อมด้วยจูเลีย (Clare Higgins) ภรรยาใหม่ และคริสตี้ (Ashley Laurence) ลูกสาวของแลร์รี่ ครอบครัวนี้ไม่รู้เลยครับว่ากำลังจะมาเผชิญกับความสยองและความตายแบบที่นรกแม้แต่นรกก็ยังทำได้ไม่เทียมเท่า
หนังโหด สยองและน่ากลัวครับ ดิบมากๆ ฉากแหวะๆ นี่มีนับไม่ถ้วน และแต่ละฉากก็ยี้ๆ ทั้งนั้น ใจไม่แข็งนี่อย่าดีกว่าครับ กรี๊ดไปหลายรายแล้ว ตัวอย่างเช่น ฉากถลกหนัง โครงกระดูก ซากศพ ภาพตะขอเกี่ยวเนื้อตัว และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงบรรยากาศสยองดิบๆ มืดทึม ถ้าอ่านแล้วยังสยองก็ไม่ต้องห่วงครับเพราะในเรื่องมันแหวะและสยดสยองมากกว่าที่ผมบอกเยอะ
แต่สำหรับคนที่ไม่สะทกสะท้านหนังแบบนี้หรือชอบ (แบบผมน่ะนะครับ) บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาด เพราะหนังสยองถึงขีดและทำได้น่าติดตามอย่างมาก ตอนต้นเรื่องก็เปิดปมและแนะนำตัวละคร แต่บรรยากาศหนังมันสยองไปตลอดครับ แม้ช่วงต้นจะแนะนำตัวละคร แต่ก็มีฉากแหวะสยองๆ แทรกเข้ามาเป็นพักๆ บรรยากาศของบ้านหลังที่ว่าแม้ภายนอกจะดูปกติธรรมดา แต่มันก็แฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายความผิดปกติบางอย่าง มันดูแฝงความหลอนไว้ พอมาช่วงท้ายนี่ก็ลุ้นกันน่ะครับ ว่าจะหาทางเอาชนะพวกซีโนไบท์ (บรรดาตัวประหลาดที่ออกมาจากกล่อง) ได้อย่างไร เพราะมันมากันเต็มบ้านเลย
ซึ่งในบรรดาซีโนไบท์ทั้งหมด ตัวที่เด็ดเกินใครก็คือ พินเฮด (Doug Bradley) ที่ผมบอกน่ะครับ แกจะโผล่ไปทุกภาคเลย และยังสร้างสีสัน (แบบโหดๆ) ได้อย่างดีด้วย ชอบจริงๆ ชอบ…
ตอนเด็กๆ ผมกลัวนะครับ ยอมรับเลยว่ากลัวพี่พินเฮดมาก จำได้เลยมีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งรถไปทำธุระกับแม่ แล้วแม่ก็ลงไปทำธุระ ส่วนผมก็นั่งรอในรถ ซึ่งแม่ผมจอดรถอยู่หน้าร้านวีดีโอแห่งหนึ่ง แล้วปรากฏว่าหน้าร้านแปะโปสเตอร์หนังเรื่องนี้เอาไว้ ผมนี่นั่งตัวเกร็งเลยครับ เพราะมันเหมือนว่าพี่พินเฮดกำลังจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลา คืนนั้นนี่หลอนจนนอนไม่หลับไปเลยล่ะ
ผมกลัวหนังเรื่องนี้อยู่นานมากๆ ครับ จนกระทั่งโตแล้ว ดูหนังสยองหลายเรื่องแล้วก็ตาม แต่กับเรื่องนี้นี่เป็นหนังสยองเรื่องที่ผมไม่กล้าจะเช่ามาดูด้วย เอาแค่ปกนี่ก็ไม่น่าพิศมัยแล้วครับ แต่ในที่สุดก็ตัดใจลองดูครับ พอดูปุ๊บก็สยองมากๆ จนหายใจไม่ทั่วท้องตลอดการรับชม แต่ก็ดันชอบอีกต่างหาก ที่นี้พอชอบจนอยากซื้อ ก็ดันไม่กล้าซื้ออีก (เอาเข้าไป ) กลัวครับ กลัวจริงๆ นึกตอนนี้ผมอาจจะรู้สึกฮานะ แต่ตอนนั้นมันกลัวมากครับ หนังบ้าอะไรฟะ เลือดเยอะ แล้วพี่พินเฮดนี่ เวลาโผล่มาทีบรรยากาศในห้องมันจะมืดๆ อับๆ ดูวังเวงอย่างที่สุด แล้วที่สำคัญคือ พอเขาโผล่มาแล้วจะไม่มีใครหนีเขาไปได้ ก็ได้แต่ผวาล่ะครับว่าตอนดูเนี่ย อย่าโผล่มาข้างหลังก็แล้วกัน – กลัวจริงกลัวจัง
หนังไร้มุกฮาครับ สยองทั้งสิ้น โหดและรุนแรงมาก เด็กๆ ไม่ควรดูครับ รอไว้โตก่อนแล้วค่อยดูน่าจะเหมาะกว่า แต่เนื้อหาผมว่าดีครับ มันแน่นและน่าสนใจ ซึ่งหนังกำกับโดย Clive Barker โดยสร้างจากนิยายเรื่อง The Hellbound Heart ของเขาเอง ซึ่งตัวหนังนั้นสนุกและสยองมากๆ ครับ ยาวแค่ 90 นาที ดูสบายๆ เลย สั้นดีกระชับและตื่นเต้นได้ตลอดเวลา
Barker เคยให้สัมภาษณ์ครับว่าตอนเขาฉายหนังเรื่องนี้ให้แม่ของเขาดูนั้น แม่ของเขาปลื้มใจมากๆ ที่ได้เห็นชื่อของลูกอยู่บนเครดิตหนัง เธอมีความสุขใจจนน้ำตาไหลออกมา นาทีนั้น Barker ก็กระซิบกับแม่ว่า นี่จะเป็นโมเมนต์ที่แม่มีความสุขที่สุดใน 2 ชั่วโมงนับจากนี้ – ในความหมายเขาก็คือ หลังจากนี้ไปพอเธอได้ดูหนัง เธอจะได้พบแต่ความขนพองสยองเกล้าล้วนๆ ไม่มีโมเมนต์ความสุขแบบนี้ระหว่างนั้นแหงๆ
นอกจากนี้ยังมีเกร็ดเกี่ยวกับชื่อหนังอีก ก็คือตอนแรกหนังจะใช้ชื่อ The Hellbound Heart ตามนิยายต้นฉบับของ Barker แต่สตูดิโอก็ติงว่าชื่อมันชวนให้นึกถึงหนังโรแมนติกมากกว่าจะเป็นหนังสยอง Barker เลยเสนอชื่อ Sadomasochists from Beyond the Grave ไป แล้วสตูดิโอก็ติงมาอีกว่าชื่อมันดูส่อนัยทางเพศมากจนเกินไป ในที่สุดชื่อก็มาลงเอยที่ Hellraiser
แล้วจริงๆ Doug Bradley เกือบจะพลาดบทพินเฮดไปแล้วนะครับ เพราะตอนแรก Bradley ได้รับโอกาสให้เลือกว่าเขาจะแสดงบทไหน ระหว่างพนักงานขนเตียง (ที่มีบทตอนต้นเรื่องนิดเดียว) กับบทพินเฮด ทีนี้เขาเกิดคิดขึ้นมาครับว่าถ้าเล่นเป็นพินเฮดเนี่ย เขาจะถูกเมคอัพหน้า ซึ่งในฐานะนักแสดงหน้าใหม่เขาอยากขึ้นจอหนังด้วยใบหน้าจริงของตัวเองมากกว่า แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจรับบทพี่พินเฮดครับ – ว่ากันว่าในครั้งแรกที่เขาเมคอัพตัวเองเป็นพินเฮดเสร็จ เขาขอนั่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียว แล้วก็มองตัวเองในกระจกพักใหญ่ เพื่อจููนตัวเองให้เข้าถึงคาแรคเตอร์ของพินเฮด
ส่วนชื่อพินเฮดนั้น จริงๆ คือชื่อเล่นที่ทีมงานเรียกตัวละครนี้ครับ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นชื่อจริง เพราะแรกเริ่มเดิมทีในบทจะเรียกตัวละครนี้ว่า Priest ก่อนจะเปลี่ยนเป็น หัวหน้าเหล่าซีโนไบท์ (Lead Cenobite) ส่วนชื่อพินเฮดนี่มีการเอามาเรียกตัวละครนี้แบบจริงๆ จังๆ เอาตอนภาค 3 ครับ ซึ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าชื่อนี้ติดหูดี
ในขณะที่คาแรคเตอร์ของพินเฮดนั้น Barker เองก็ต้องฟันฝ่าสารพัดคอมเมนต์กว่าจะสร้างตัวตนของพินเฮดออกมาแบบนี้ได้ เพราะเขาทำหนังเรื่องนี้ในช่วงที่หนังสยองอย่าง Friday the 13th, A Nightmare on Elm Street และ Halloweem กำลังดังและมีภาคต่อ เขาเลยต้องรับสารพัดคำแนะนำ (แกมบังคับ) จากผู้สร้าง บางคนก็อยากให้พินเฮดมาพร้อมมาดทีเล่นทีจริงและมีอารมณ์ขันหน่อยๆ แบบเฟรดดี้ ครูเกอร์ ส่วนบางคนก็เสนอว่าพินเฮดควรจะเป็นคาแรคเตอร์ที่ไม่พูดไม่จา แบบเดียวกับเจสัน วอร์ฮีส์หรือไมเคิล ไมเยอร์ส แต่ Barker ก็ยืนกรานครับว่าพินเฮดจะมีเอกลักษณ์ ดูมีอำนาจและทรงพลังแบบเดียวกับแดร็กคูล่า สมัยที่ Christopher Lee แสดง
แล้วเชื่อไหมครับว่ามีดาราคนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ที่ไม่เคยดูหนัง Hellraiser จนจบเลย เธอคนนั้นคือ Clare Higgins เจ้าของบทจูเลียที่ออกตัวว่าเธอไม่ชอบหนังสยองขวัญเอามากๆ และในรอบปฐมทัศน์เธอสามารถนั่งทนดูหนังอยู่ได้แค่ 10 นาทีเท่านั้น แล้วเธอก็รู้สึกกลัวแบบจับใจขึ้นมา ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกจากโรงหนังอย่างรวดเร็ว เพราะหนังมันทำให้เธอรู้สึกกลัวแบบสุดๆ จริงๆ และเธอก็ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้จนจบจนถึงทุกวันนี้
มีเกร็ดขำๆ อีกอย่างคือ ในปาร์ตี้ปิดกล้อง Bradley เกือบถูกกันไม่ให้เข้าไปในงาน เพราะไม่มีใครจำเขาได้ในร่างปกติครับ ว่าง่ายๆ คือคนทั้งกองจำเขาได้เฉพาะในร่างพินเฮดเท่านั้น ต้องยืนยันกันอยู่นานกว่าเขาจะได้เข้าไปในงาน
ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จครับ ทุนสร้างอยู่ที่ราว $1 ล้าน แล้วก็ทำเงินคืนมาจากทั่วโลกไปราวๆ $20 ล้าน – ส่วนภาคต่อนั้นผู้สร้างไฟเขียวให้ตั้งแต่ก่อนหนังฉายครับ ประมาณว่ามั่นใจในหนังมากพอสมควรทีเดียว
ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไรครับ บอกได้แต่ว่ามันทำถึง เรื่องความแหวะนี่ก็เต็มๆ แล้วน่ะ ส่วนความสยองทางอารมณ์ก็เต็มที่ไปเลย โทนหนังก็หม่น และอีกอย่างผมว่าบรรยากาศคาวเลือดในหนังมันสามารถแผ่ทะลุจอได้ด้วยนะครับ ภาพที่เห็นมันทำเอาเราขนลุกจนเหมือนเราไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ อันนี้ผมคงอินกับหนังมากไปมั้งครับ แต่ผมเชื่อว่าหนังมันน่าจะทำให้หลายๆ คนอินครับ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ท่านรู้สึกได้ว่า “ไม่ปลอดภัย” น่ะ
ทีนี้ก็อยู่กับท่านแล้วล่ะครับ ถ้าขวัญอ่อน แนะนำว่าควรหาคนดูด้วยครับ ดูคนเดียวไม่น่าไหวนะ แต่คนที่ขวัญแข็งและชอบหนังสยองขวัญ นี่คือความสยองชั้นดีที่ท่านจะพลาดไม่ได้ครับเป็นอันขาดครับ
สยองสามดาวครับ
(8/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Horror