นี่ถือเป็นหนังที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากเรื่องหนึ่งเลยครับ เพราะมันเป็นหนังเรื่องแรกสุดที่ผมเริ่มดูเพื่อวิจารณ์อะไรอย่างจริงจัง ความเจ้าความคิดชอบหยิบโน่นหยิบนี่มาคิดก็เริ่มจากเรื่องนี้นี่แหละ เพราะเรื่องนี้มันว่าด้วยเรื่องของ Conspiracy Theory หรือ ทฤษฎีสมคบคิด
คอหนังแนวสืบสวนน่าจะคุ้นนะครับกับคำนี้ ถ้าใครไม่รู้จักก็จะบอกให้ฟังคร่าวๆ ว่าทฤษฎีสมคบคิดคืออะไร ก็อย่างเช่นกรณีที่ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ของอเมริกาโดนลอบสังหารนั้น เราทุกคนได้รู้จากการแถลงข่าวว่าคนที่ลงมือทำคือไอ้เดี่ยวพิโรธที่ชื่อ ลี ฮาร์วี่ย์ ออสวอลด์ แต่แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาพยายามตามหาความจริงโดยเอาข้อมูลแวดล้อมทั้งหลายมาปะติดปะต่อกันใหม่ เพื่อหาทางเป็นไปได้อื่น จนไปๆ มาๆ ก็ชักจะมีข่าวว่าทางทหารพัวพันกับเหตุการณ์นี้ และแนวคิดหลังที่ได้ออกมานี่แหละที่เรียกว่า ทฤษฎีสมคบคิด
กล่าวคือ CT นั้นจะเป็นแนวคิดที่ว่ามีคนบางกลุ่มอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ส่วนมากมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาลหรือบ้านเมืองครับ ประมาณว่ามีคนชั้นสูงอยู่เองหลังเหตุวุ่นวายหรืออะไรต่างๆ ซึ่งคนธรรมดาๆ ที่มีหัวคิดในเรื่องสืบสวน ก็จะมานั่งเอาข้อมูลมาพิจารณาและคาดการณ์ จนได้ข้อสรุปมาเป็นทฤษฎี
ดังนั้นถ้าจะว่าไป ช่วงนี้บ้านเรามีทฤษฎีสมคบคิดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดครับ ที่ว่านักการเมืองคนนี้อยู่เบื้องหลังอันนี้ หรือการประท้วงอันนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่ มันจึงเป็น CT ทั้งสิ้น
แต่กระนั้นก็ต้องขอบอกครับว่า CT ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็น “ทฤษฎี” ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงแนวคิดครับ ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ถ้าเป็นในทางการสืบคดีเราก็จะเรียกมันว่าเป็น “ข้อสันนิษฐาน” ที่ประกอบขึ้นมาจากหลักฐานที่มีอยู่จริง กับจินตนาการส่วนตัวของเราเอง ดังนั้นมันจึงเป็นความเป็นไปได้หนึ่งครับ แต่อาจจะไม่ใช่ “ข้อเท็จจริง” ทั้งหมดก็ได้
ทำให้สิ่งที่สำคัญที่สุดของการรับฟัง CT ก็คือ “วิจารณญาณส่วนบุคคล” ของแต่ละท่านน่ะครับ เพราะจะว่าไปมันก็ถือเป็นการคาดเดาเหมือนกัน กล่าวคือ ฟังได้ เอามาคิดได้ จะเชื่อก็ได้ แต่ต้องเชื่อแบบฟังหูไว้หู อย่าเพิ่งเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะเชื่อซัก 50/50 ก่อน เพราะความจริงแท้ๆ ถ้าเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ เราก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกครับ
และหากมองในอีกมุมหนึ่ง CT ก็ถือเป็นเสมือนตัวสั่นคลอนความมั่นคงของชาติได้เหมือนกัน
CT ในระยะแรกๆ นั้น เกิดขึ้นเพราะคนอยากรู้ความจริงครับ เช่น คดีลอบสังหารเคเนดี้ ที่คนไม่พอใจคำตัดสินเลยต้องหาข้อมูลเองจนน่าเชื่อ นั่นทำให้ CT ค่อนข้างเป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เพราะเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความจริง ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนผมก็คงเชื่ออย่างนั้นล่ะครับ แต่หากมายุคหลังสมัยหลังคงต้องบอกว่า CT ที่มุ่งหมายเพื่อหาความจริงอาจจะเหลือแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้
เพราะมันก็มีคนหัวใสที่ใช้อำนาจของ CT หรือ ข่าวลือในการสร้างความวุ่นวายให้กับคนในชาติบ้านเมืองได้เหมือนกัน
ตัวอย่างง่ายที่สุด คือ ข่าวลือที่ว่า “ธนาคารนี้จะล้มละลาย” ซึ่งในความเป็นจริงธนาคารมันก็อยู่ของมันดีๆ ล่ะครับ ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมีข่าวแบบนี้ขึ้นมาก็จะมีตัวก่อหวอดว่าไปถอนเงินกัน เพราะตอนนี้ผู้บริหารของธนาคารนี้นะ …. หรือธนาคารไม่เหลือเงินแล้วนะ รีบไปถอนกันเร็วๆ จนในที่สุดคนก็แห่ไปถอนกันมากมาย
แล้วเป็นไงล่ะครับ ในที่สุดธนาคารที่ว่าก็ล้มละลายจริงๆ เพราะคนแห่ไปถอนเงินนั่นแหละ
ดังนั้นคนฉลาดมากมายจึงใช้ CT หรือถ้าเรียกให้ชัดเป็นไทยๆ ก็คือ ข่าวลือ ในการสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเอง และเอาข่าวลือไปกรอกหูคนที่ฉลาดน้อยกว่า และพอคนเหล่านั้นเป็นเหยื่อ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว
เป็นกลยุทธในการสร้างความวุ่นวายแบบที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไนเลยครับ ไม่ต้องเอาปืนไปขู่ แต่เล่นกับความหวาดระแวงและความกลัวของคนล้วนๆ … และส่วนมากก็เล่นได้สำเร็จซะด้วย
มาถึงจุดนี้เลยอยากจะบอกไว้ครับว่า ไม่ว่าจะ CT หรือ ข่าวลือ อะไรต่างๆ ผมไม่เถียงครับว่ามันอาจมีมูลความจริง และไม่เถียงด้วยว่ามันอาจเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรสิ่งที่เราควรทำก็คือ การรับฟังอย่างมีสติ มีวิจารณญาณ
ถ้าท่านฟังอย่างวิเคราะห์และมีสตินะครับ จะมีประโยชน์ในสองทางเลย เพราะถ้ามันเป็นความจริง ท่านรับรู้มาแล้วฟังอย่างมีสติไม่ใช้อารมณ์ นั่นก็เท่ากับท่านได้รับรู้ข้อมูลดีๆ มาอีกอัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ความจริง เราก็จะได้ไม่หลงละเมอไปกับมันจนเกินไป
ดังนั้น ได้ยินมาก็ฟังไว้ รับรู้ไว้ แต่อย่าไปตกเป็นเหยื่อมันครับ
เฮ่อ เรื่องหนักเหมือนกันนะอันเนี้ย แต่ก็ยอมรับครับ เมื่อก่อนตอนรู้จัก CT ใหม่ๆ ผมเห็นเป็นของวิเศษเลยนะครับ มีกี่ CT ก็เกือบจะเชื่อไปหมด เหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่เลยเพลินกันมันน่ะครับ ต้องใช้เวลานานพอดูเลยล่ะกว่าจะเอาสติมาใช้ประกอบการพิจารณาได้น่ะ เมื่อก่อน โหย เหมือนเวลาเราคิดอะไรได้ แล้วเอาไปเล่าให้ใครฟัง แล้วถ้าคนนั้นไม่เชื่อผมก็จะเปิดศึกโต้เถียงใหญ่โตเลยครับ ยอมหักไม่ยอมงอเลยล่ะ
แต่พอคิดได้ก็คิดว่า “เออ มันแค่แนวคิดนี่หว่า เขาจะไม่เชื่อก็ได้อ้ะ และเราก็ไม่ใช่อัจฉริยะที่รู้ทุกอย่างซะที่ไหน มันอาจถูกหรือไม่ก็ได้ … แล้วเราจะไปเห็นความคิดสำคัญกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าทำไม” พอคิดได้ดังนี้ ก็เลยเริ่มวางแล้วครับ นั่นคือความคิดยังแล่นอยู่ ผมยังคิด CT ขึ้นมาเรื่อยๆ ครับ อย่างเวลาใครโดนฆ่าอย่างปริศนาหรือเวลาเดินขบวนก็ตาม สมองส่วนนี้มันก็อดจะคิดต่อยอดจากเนื้อข่าวไม่ได้
แต่พอคิดแล้ว รับรู้แล้ว ก็วางมันลงครับ ไม่คิดมาก ไม่ถือให้หนักหัวเหมือนแต่ก่อน วันดีคืนดีก็เอาไปคุยกับเพื่อน ถ้าเพื่อนไม่เห็นด้วยแล้วเราความคิดเขาให้ฟัง ผมก็ไม่เถียงอะไร ซ้ำยังนั่งยิ้มซะอีกแน่ะ เพราะเรากำลังจะได้แนวคิดจากคนอื่นมาเสริมการมองโลกของเรา
“ในสนามความคิด ไม่มีถูกผิดอย่างแท้จริง” นี่แหละที่ผมเอาติดตัวไปเสมอทุกอย่างก้าว
… นี่ไงครับ มันมีอิทธิพลต่อผมและความคิดของผมจริงๆ แต่มีแบบค่อยๆ ตกผลึกน่ะครับ หลายปีอยู่ ดังนั้นการที่ผมช่างคิดช่างผูกเรื่อง ช่างมองโลกแปลกๆ ก็มาจากหนังเรื่องนี้นี่แหละ
ก็แปลกดีครับที่หนังเรื่องนี้มีอิทธิพลกับผมมากกว่า The X-Files ซะอีก คือตอนั้นผมก็ติด X-Files นะ และใน X-Files ก็มี CT ทฤษฎีสมคบคิดเต็มไปหมด แต่ผมก็ไม่ยักกะอะไรนะ พอมาเรื่องนี้นี่แหละมันถึงจะเกิดป็อบขึ้นมาในหัวน่ะ สงสัยคงเพราะผมโดนเพาะเชื่อช่างคิดต่างแต่ X-Files แล้วมั้งครับ พอเจอเรื่องนี้มันเลยโตพอดี
นี่แหละครับ หนังเปลี่ยนชีวิตผมล่ะ เปลี่ยนทั้งในทางดูหนังและทางความคิดเลย
โอ้ ร่ายเรื่องชีวิตมาซะยาวนานเลย ยังไม่เข้าเรื่องหนังซะที คนอ่านอย่าเพิ่งเงกล่ะครับ
Conspiracy Theory เล่าเรื่องของคนขับแท๊กซี่ที่ชื่อ เจอร์รี่ เฟลตเชอร์ (Mel Gibson) ที่วันๆ ทำอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกคือนั่งเล่าเรื่องทฤษฎีสมคบคิดที่ตัวเองคิดขึ้นในผู้โดยสารฟัง และอีกสิ่งก็คือคอยติดตามดูอัยการสาว อลิซ ซัตตัน (Julia Roberts) ที่เธอก็ชักจะรำคาญเขาเหมือนกันที่เขามาวุ่นวายกับชีวิตเธอซะทุกวี่วัน
แต่แล้วชีวิตกิจวัตรปกติของเจอร์รี่ก็มีอันต้องพังพาบ เมื่อจู่ๆ มีบุคคลลึกลับที่นำโดย ดร.โจนัส (Patrick Stewart) มาไล่จับตัวเจอร์รี่ ทำให้เขาต้องรีบเอาตัวรอดและหาทางติดต่อกับอลิซ เพราะเธอคือคนเดียวที่เขาไว้ใจได้ แล้วทั้งสองก็ต้องมาเสี่ยงชีวิตในการสืบหาความจริง ว่ามันเกิดอะไรกับเจอร์รี่กันแน่
ตอนแรกดูเหมือนเรื่องจะเป็นประมาณว่าเจอร์รี่ วันๆ คิดทฤษฎีไป แล้วก็ทำท่าว่ามันจะเกิดจริงจนไปสะดุดตีนใครเข้า เลยโดนตามล่า แต่พอมาดูเรื่องจริงๆ ก็มีอะไรซับซ้อนกว่านั้นครับ ไม่ว่าจะเรื่องของเจอร์รี่เองหรือความสัมพันธ์ของเขากับอลิซ ซึ่งอันนี้ก็ต้องชมพี่ Brian Helgeland ที่เขียนบทได้เข้าท่าครับ น่าติดตามตลอด แล้วยังได้ฝีมือกำกับของ Richard Donner ลงไปอีกดอก หนังเลยออกมาค่อนข้างดีครับ ดูสนุก มีอืดบ้างแต่ก็ไม่มาก เพราะมันจะมีปมแล้วก็แอ๊คชั่นใส่ลงมาตลอด คอยลุ้นไปตลอดว่าตกลงเรื่องมันจะไปทางไหน
มีเกร็ดเกี่ยวกับ Donner และ Helgeland ที่อยากเล่าให้ฟังครับ ท่านทราบไหมครับว่าพวกเขามาเจอกันได้อย่างไร? ย้อนไปราวๆ ปี 1994 ตอนนั้นมีอยู่วันหนึ่ง Donner ขับรถกำลังจะเข้าประตูบริษัท Warner Bros. แล้วก็เจอ Helgeland ยืนอยู่แถวนั้น พอ Donner เห็นก็เกิดถูกชะตาเลยลงจากรถไปถามไถ่จนได้ความว่า Helgeland กำลังหางานเขียนบททำครับ คุยไปคุยมาก็เกิดถูกคอ Donner เลยเสนอโอกาสให้ Helgeland มาเขียนบทให้กับเขา เรื่องแรกคือ Assassins และเรื่องต่อมาก็คือเรื่องนี้นี่แหละครับ
และโอกาสที่ Donner มอบให้กับ Helgeland นั้นถือว่ามีความหมายมาก เพราะมันทำให้เขาได้ทำงานกับ Warner Bros. จนมีโอกาสได้ดัดแปลงบท L.A. Confidential จากนิยายมาเป็นบทภาพยนตร์ อันทำให้เขาได้ออสการ์ในเวลาต่อมาด้วยครับ
ในแง่ของนักแสดงนั้น พี่ Mel และ เจ๊ Julia ยังเล่นดีเหมือนเดิมตามมาตรฐานของพวกเขาน่ะครับ พี่ Mel ก็ดูน่ารักดีกับบทติงต๊องแปลกๆ แบบนี้ ดูไปก็อดสงสารไม่ได้ครับตอนแกโดนทรมาน ส่วน Julia ก็สวยคม ยิ้มสวยไม่มีตก แล้วก็ดูน่าเชื่อในบทนักกฎหมาย ส่วนเวลาที่ทั้งสองมาเข้าคู่กันนั้นก็ถือว่าโอเคครับ แม้จะไม่ถึงกับเคมีเข้ากันแบบสุดๆ แต่ก็ถือว่าโอเคในระดับที่น่าพอใจ
ส่วนบทตัวร้ายของ Stewart ก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ตอนแรกทำท่าว่าจะยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากกว่านั้น และผมว่า Stewart ยังไม่ค่อยเหมาะกับบทวายร้ายแบบนี้น่ะครับ เขาเหมาะกับบทแบบกัปตันพิคาร์ดหรือไม่ก็ ศจ.เอ็กซ์ โน่น เป็นบุคคลดีที่น่าเชื่อถืออะไรแบบนั้นมากกว่า มาเรื่องนี้แม้จะพอไหว แต่ใจก็อดคิดไม่ได้ครับว่าน่าจะมีคนที่เหมาะกับบทนี้มากกว่า
ไปๆ มาๆ คนเข้าที่เข้าท่ากลับเป็นตัวสมทบอย่าง Cylk Cozart ที่มาเป็นนักสืบลารี่ย์ที่คอยตามสืบเบื้องหลังของพระเอก แล้วก็ Steve Kahan ดาราขาประจำที่ต้องโผล่ในหนังทุกเรื่องของผู้กำกับ Donner ที่มาเป็น วิลสันนายของอลิซ
นอกนั้นบรรยากาศของหนังถือว่าดีครับ การเดินเรื่องก็น่าติดตาม และอีกจุดที่ไม่ชมไม่ได้คือผลงานดนตรีระดับยอดเยี่ยมของ Carter Burwell ที่จังหวะดีมากครับ ติดหูและคักคักมาก บ่งบอกบุคลิกของเจอร์รี่ได้ดีจริงๆ อย่างเพลงตอนที่เขาพิมพ์ทฤษฎีแจกไปให้กับสมาชิกน่ะครับ ท่วงทำนองแต่งออกมาได้ดีมากๆ ครั้นพอถึงฉากตื่นเต้นก็ยังเร้าอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย หนังสนุกขึ้นก็เพราะดนตรีดีๆ นี่แหละครับ
และอีกอันก็คือเพลงที่หนังหยิบมาใช้ได้อย่างลงตัวเหลือเชื่อ นั่นก็คือเพลง Can’t Take My Eyes off You ที่เข้ากับหนังอย่างประหลาด จนความไม่ลงตัวบางประการระหว่างเคมีของพระ-นางที่ผมรู้สึกในตอนแรกนั้น ทำท่าว่าจะสมานได้ด้วยเพลงนี้แหละครับ
นี่ก็ถือเป็นหนังสืบสวนทริลเลอร์ที่มันส์ดีครับ ตามมาตรฐานของผู้กำกับ Donner ที่ทำหนังกี่เรื่องก็ออกมาไม่ผิดหวัง จนผมต้องตามซื้อเก็บเกือบตลอด (จะมาเสียงรังวัดหน่อยตอนทำ Timeline นั่นแหละ ที่แม้จะออกมาไม่เลว แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีตามมาตรฐานของเขาซักเท่าไหร่) ก็ถ้าชอบดารานำหรือแนวหนังผมเชื่อว่าท่านน่าจะเพลินได้ครับ เพราะมันดูได้เรื่อยๆ แม้ดาราอาจยังไม่สุดบ้างในบางวาระ แต่พอดูจบมันก็ยังรู้สึกได้ว่าหนังดีน่ะครับ และสำหรับผมเองก็เล่าไปแล้วว่าหนังมันมีผลกับผมยังไงบ้าง ผมเองเลยออกจะมองในแง่บวกกับหนังแม้จะมีจุดพร่องอยู่บ้างก็ตาม
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Thrillers