Action

Quantum of Solace (2008) 007 พยัคฆ์ร้ายทวงแค้นระห่ำโลก

qos_poster

นั่งปรับใจจูนสมองอยู่นานทีเดียวครับกว่าจะปั่นรีวิวบอนด์ภาคนี้ได้

สารภาพเลยว่าผมโตมากับบอนด์ยุคเก่า ที่มีสาวสวย พระเอกเก่งเว่อร์ เจอผู้ร้ายขนาดไหนก็ชนะได้ บู๊ขนาดไหนทรงผมก็เรียบไม่มีกระดิก (เคยเห็นบอนด์ภาคไหนผมแกตั้งกระบังเป็นเพิงหมาแหงนไหมล่ะครับ) พร้อมอาวุธไฮเทคชวนตื่นตา กับการไล่ล่าแบบเมามันส์

ทีนี้พอมาเจอบอนด์ยุคใหม่ที่เน้นความสมจริง เน้นความเป็นความตายของสายลับ ลึกๆ ในใจก็อดโหยหาบอนด์แบบเก่าไม่ได้ เพราะมันเหมือนเพื่อนเก่าน่ะครับ บอนด์สมัยก่อนเข้าทีไรก็จะนัดเพื่อนเข้าไปเสพความบันเทิงเต็มคราบ ดูจบก็ ออกจากโรงพร้อมความสบายใจ มีอะไรให้คุยขำๆ มีประโยคสองแง่สองง่ามของบอนด์ให้ออกมาใช้งานกัน

แต่ตอนนี้ทำใจได้แล้วล่ะครับ เพราะผู้สร้างเขาประกาศเจตนาตั้งแต่ตอนทำ Casino Royale แล้วว่าจะมีการ Reboot ตีความบุคลิกบอนด์ใหม่ อิงกับนิยายและความเป็นจริงมากกว่าจะอิงสไตล์แอ็กชันฮีโร่โก้ตลอดศก ผลที่ได้ออกมาเลยเป็น พี่ Daniel Craig มาสวมวิญญาณเจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้ายสไตล์ดิบ โหดถึงใจ ฆ่าคนได้ไม่กระพริบตา และด้วยความที่เป็น Reboot นั่นคือการเริ่มต้นใหม่ ทำให้ฝีมือความร้ายกาจของบอนด์คนนี้ยังไม่มากเท่าเจ้าของรหัส 007 คนก่อนๆ ที่เราคุ้นเคย เลยมีพลาดบ้าง อ่อนบ้างตามประสา

พอทำใจได้ก็รีวิวง่ายล่ะครับ มันสรุปได้เลยว่าถ้าคุณชอบบอนด์แบบเก่า ที่มีความบันเทิง พระเอกมีอารมณ์ขัน และสาวๆ สวย คุณต้องเห็นพี่บอนด์คนนี้เป็นคนแปลกหน้าแน่นอน เพราะ QoS เป็นบอนด์ตอนที่ดิบ ระห่ำ ลุยเดือดกว่าบอนด์ตอนใด เนื้อเรื่องก็ต่อเนื่องจากภาคก่อนครับ บอนด์ซึ่งยังคงตามล่าหาเบาะแสขององค์กรปริศนา แต่ปรากฏว่ายิ่งสืบก็ยิ่งพบว่าองค์กรที่มีชื่อว่าควอนตัมนี้มีเครือข่ายใหญ่โตมากกว่าที่เขาจะคาดคิด และตอดุ้นเบ่อเริ่มที่บอนด์ไปสืบเจอคือนักธุรกิจชื่อโดมินิก กรีน (Mathieu Amalric) ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวพันโดยตรงกับองค์กรนี้ บอนด์จึงต้องตามไปต่อกรและหาทางหยุดยั้งแผนร้ายของโดมินิก ไม่ว่ามันจะเป็นแผนอะไรก็ตาม

บอนด์ภาคนี้จะดูสนุกหากคุณชอบ Casino Royale และรับได้กับบอนด์รุ่นรีบู๊ทที่กลายเป็นสายลับท้ามรณะ อารมณ์เดือดและหุนหันพลันแล่น แต่ก็มีไหวพริบไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน ส่วนเรื่องความเนี๊ยบกับการแต่งกายจะไม่เน้นครับ เน้นปฏิบัติการให้สัมฤทธิ์ผล กฎระเบียบทั้งหลายข้ามได้ก็ข้าม กับลีลาการเดินเรื่องที่ไวเข้าว่า และติดดินไม่ค่อยเว่อร์ ส่วนความบันเทิงก็มีประปรายครับ แต่ไม่มากเท่าบอนด์สไตล์เก่าที่ทำออกมาเพื่อบันเทิงจริงๆ

qos_poster2

แต่จุดด้อยของบอนด์ภาคนี้ที่ต้องทำใจคือ สไตล์บู๊มันไวมากครับ ตัดต่อยังไม่ลงตัวเท่าไร บางทีก็ดูไม่ทัน อย่างฉากขับรถไล่ล่าตอนต้นเรื่องที่ดูไม่รู้เรื่องว่าใครทำอะไร รถคันไหนมาเพื่อล่า รถคันไหนเป็นของบอนด์ ตรงนี้เลยไม่รู้จะลุ้นอีท่าไหนครับ เพราะดูไม่ออกจริงๆ ว่าจะเชียร์รถคันไหน หรือฉากต่อยตีแอ็กชันบางฉาก อย่างตอนไคลแม็กซ์ก็ไวอีก ตัดต่อแบบมุมไม่กว้างมากและไวจัด อันนี้ต้องทำใจหน่อยครับ ส่วนพวก Effect ดนตรีก็ใช้ได้

สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ ก็ต้องถามตนเองล่ะครับว่าชอบบอนด์แบบไหน เพราะถ้าไม่ชอบแบบ Craig ก็เตรียมไม่พึงปรารถนากับภาคนี้ได้ เพราะมันแหวกขนบบอนด์เยอะมาก แต่ถ้าชอบสไตล์ติดดินและไม่ชอบบอนด์แบบเก่า ก็คงปลื้ม QoS กันไปล่ะครับ (ฟันธงง่ายดีเน้อะ อิอิ)

ส่วนกระผมเอง จริงๆ ชอบบอนด์แบบเก่าครับ แต่ก็ต้องว่ากันแบบยุติธรรมว่าบอนด์ภาคนี้สนุกสำหรับหนังสไตล์สายลับจริงจัง ทำได้ไม่เลว จะมาเสียก็ตรงการตัดต่อไวจนไม่รู้เรื่อง กับการเดินเรื่องที่รีบตะบึงฮ้อเหลือเกิน เล่นเอาภาคนี้สั้นแค่ 1 ชั่วโมง 40 กว่านาทีเท่านั้นเอง อารมณ์เหมือนตอนดู X-Men: The Last Stand น่ะครับ มันรีบเดินเรื่องรีบสั้นเกินไป อารมณ์เลยไม่ได้ซึมซับทั้งๆ ที่บอนด์ภาคนี้อุดมด้วยสถานการณ์ที่แสดงมิติของจิตใจบอนด์ก็เสียดายนิดๆ ล่ะครับ อุตส่าห์เลือกทางนี้แต่ยังทำได้ไม่ถึงขั้นเยี่ยม อยู่ในระดับดีเท่านั้นน่ะ

แต่ผมชอบบทของเอ็ม (Judi Dench) ภาคนี้มากครับ ผมยกให้เธอเป็นตัวเอกของตอนไปเลยล่ะ เป็นสุดยอดหัวหน้าที่วางใจและเข้าใจลูกน้องดี อีกทั้งตัวตนของบอนด์ภาคนี้นับว่าบอบช้ำทั้งกายใจเนื่องมาจากเหตุการณ์ในภาคก่อน บอนด์จึงออกแนวประชดชีวิต หมดศรัทธาในทุกอย่าง หาเรื่องตายไปวันๆ เรียกว่าอัตตาและวิญญาณแตกสลายไม่มีชิ้นดี แต่เพราะได้หัวหน้าอย่างเอ็มที่รู้ครับว่าควรคุมลูกน้อง แต่ต้องไม่บีบ ต้องคอยอุ้มแต่ก็ไม่ตามใจ นับว่าบอนด์โชคดีมากทีเดียว ถ้าเจอหัวหน้าแย่ๆ ป่านนี้โดนด้านพลังด้านมืดเข้าสิงแล้วล่ะมั้ง

ส่วนคุณพี่วายร้ายที่นำแสดงโดย Amalric บอกตามตรงว่าโหงวเฮ้งพี่แกโรคจิตมาก ดูเป็นวายร้ายที่น่าสนใจครับ แต่ไปๆ มาๆ ก็เสียดายนิดหน่อยที่พี่ท่านไม่ได้มีพิษสงอะไรสักเท่าไร และสาวบอนด์ประจำตอนก็ได้แก่ คามิลล์ที่รับบทโดย Olga Kurylenko ก็คงต้องมีการบันทึกไว้เป็นประวัติล่ะครับว่าเธอคือสาวบอนด์รายแรกที่พี่บอนด์แกไม่ได้กระทำอะไรต่อมิอะไรกับเธอเลย… ไม่น่าเชื่อ พี่บอนด์ผม… แต่พี่บอนด์แกก็ไม่ได้กลับใจซะทีเดียวหรอกครับ เพราะยังไงพี่ท่านก็ได้ทำอะไรต่อมิอะไรกับ สตรอเบอรี่ ฟิลด์ส (Gemma Arterton) ซึ่งสารภาพแบบโต้งๆ เลยนะครับว่าผมชอบรายหลังนี่มากกว่า ครบเครื่องสาวบอนด์ดีจริงๆ น่ารักและเซ็กซี่ด้วย แบบนี้ผมยิ่งอยากดู Prince of Persia ที่เธอเป็นนางเอกจริงๆ ครับ

เอาล่ะครับ ผมคิดยังไงกับตัวหนังก็บอกคร่าวๆ ไปแล้ว ทีนี้ผมก็จะเอาบทความที่ผมเคยเขียนลง MovieTime มาลงประกอบไปด้วยเลยนะครับ จะได้อ่านกันยาวๆ ครับ

qos_poster3

อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของบอนด์ใน Quantum of Solace

หนังบอนด์ภาคใหม่ เป็นอย่างไรครับ ชอบไม่ชอบ เฉยไม่เฉย ด่าไม่ด่า (ฮ่าๆๆ) เท่าที่ทราบมาก็มีครบทุกประเภทครับ ที่ชอบก็เยอะ เกลียดก็มาก แล้วคนสองฟากก็มาตั้งธงรบกันมันส์ไปเลย สารภาพเลยว่าตอนหนังฉายโรงใหม่ๆ ผมว่างเว้นจากการเข้าเว็บพันทิพไปเลยครับ สาเหตุหนึ่งเพราะไม่ว่าง สาเหตุที่สองเพราะมั่นใจว่าต้องบเจอคนชอบไม่ชอบพี่บอนด์เวอร์ชั่น Craig มาห้ำหั่นกันแน่ๆ พอเข้าไปก็จริงตามคาดครับ ศพเกลื่อนเชือดกันเต็มบอร์ด กระทู้ไหนมีหัวข้อประกาศเจตนารมณ์ว่าชอบไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ก็ได้กลิ่นคาวเลือดมาแค่ไกลครับ พอคลิ้กเข้าไปก็ชั๊วะชะ ชั๊วะชะ ท่านจอมยุทธฟาดฟันกันไม่ปรานีเลยทีเดียว ข้าน้อยก็โกยแนบสิครับ (วะฮะฮะฮะ)

สำหรับผมเอง คิดอย่างไรกับหนังก็บอdเรียบร้อย ว่าคร่าวๆ หนังก็โอเคครับ แต่ก็เป็นบอนด์เวอร์ชั่นกดดันเต็มขั้น ไม่ใช่สไตล์เก่าอีกแล้ว ซึ่งผมก็ได้แต่ทำความเข้าใจน่ะนะครับว่าบอนด์เปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าถามผม โดยส่วนตัวยังชอบบอนด์แบบเก่าๆ อยู่ (ถึงบรรทัดนี้หลายคนเริ่มเอามือจับดาบเตรียมจะฟาดฟันผมแล้วล่ะสิ ใจเย็นๆ วางดาบก่อน อย่าเพิ่งเครียดครับ) เหตุผลที่ผมชอบบอนด์แบบเก่าก็คงเป็นความผูกพันน่ะครับ โตมากับบอนด์แบบบันเทิง ในใจลึกๆ เลยอดไม่ได้ที่จะเรียกร้องบอนด์แบบดูสบายๆ ดูสาวๆ ดูแอ็กชัน ฟังเพลงมันส์ๆ จบแล้วก็รอดูใหม่อีกสองสามปีข้างหน้า แต่ในเมื่อบอนด์ได้รับการปรุงโฉมใหม่ ผมก็ยังตามดูเหมือนเคยล่ะครับ ซึ่งตามมาตรฐานความเป็นหนังก็ยังดูสนุกใช้ได้ สมจริงตามสไตล์หนังบู๊สายลับที่คอหนังหลายท่านน่าจะชอบ

ส่วนการฟาดฟันกันในบอร์ดนั้น ใจความก็สั้นๆ ครับ คนกลุ่มหนึ่งชอบบอนด์ของเก่ามากกว่า เพราะเห็นว่าบอนด์ของใหม่ดูดุดัน รุนแรง ไม่สนุกบันเทิงแบบของเก่าๆ ส่วนอีกกลุ่มที่ชื่นชอบบอนด์ของใหม่ก็เห็นว่าบอนด์แบบนี้แหละ ของแท้มาตั้งแต่สมัยนิยาย ต้องเหี้ยมเกรียม มีมิติความเป็นคน โกรธเป็นเจ็บเป็น สมจริงแบบนี้แหละถูกต้องแล้ว จริงๆ ถ้าคุยกันแค่นี้ก็คงไม่มีปัญหาครับ แต่เพลงดาบมันเริ่มกระบวนท่าตอนที่ฝึกหนึ่งเริ่มขุดเอาข้อเสียของบอนด์แบบที่ตัวเองไม่ชอบมาด่า เท่านั้นแหละ เรื่องยาว สองฝ่ายก็รบพุ่งกันอุตลุดไปหมด คนชอบบอนด์เก่าก็บอกว่า QoS มันเดินตามรอยเจสัน บอร์นแห่ง The Bourne Identity ไม่สนุก ไม่เพลินเหมือนเก่า ฉากมันส์ก็น้อย ส่วนคนที่ชอบบอนด์แบบเคร็กๆ ก็ตอบกลับว่าบอนด์แบบเก่ามันเวอร์ มีของเล่นอุปกรณ์ช่วยเยอะไปหมด อะไรก็ไม่รู้ แล้วพระเอกยังเก่งเว่อร์อีก ฯลฯ ที่เหลือถ้าสนใจตามก็ไปอ่านเพื่อความสนุกต่อในบอร์ดได้ครับ

ผมดูการตอบไปมาเหล่านี้แล้ว ก็พอเข้าใจน่ะ ผมตอนแรกๆ สมัยที่บอนด์เปลี่ยนหน้าตา ผมก็อดหงุดหงิดไม่ได้ จนบางทีก็ยังคิดจะโต้กับคนที่ชอบบอนด์ใหม่ด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเลยจุดนั้นแล้วหันมามองก็ขำตัวเองครับ

อย่างหนึ่งที่ผมตั้งใจจะนำมาบอกก็คือ หลายท่านเข้าใจว่าบอนด์ภาคนี้เป็นบอนด์ภาคก่อนหน้าตอน Dr. No เป็นสมัยบอนด์เพิ่งรับงานรหัส 00 ใหม่ๆ นั้น มีทั้งที่ถูกและไม่ถูกครับ ที่ถูกคือ นี่คือบอนด์สมัยยังเป็นสายลับมือใหม่จอมระห่ำ เพิ่งได้รหัส 00 มาก็ไล่ตะบันฆ่าฟันผู้ร้ายแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ไม่ใช่บอนด์ตอนก่อนหน้า Dr. No อย่างที่เข้าใจกัน เพราะผู้สร้างอย่างไมเคิล จี วิลสันและ บาร์บาร่า บร็อกโคลี่กับคนเขียนบทได้ตั้งใจว่าจะสร้างตำนานบอนด์บทใหม่ ไม่อิงไม่เอี่ยวใดๆ กับบอนด์เมื่อ 20 ตอนก่อน ถึงกับใช้คำว่า Reboot รื้อโครงสร้างใหม่ และใช้คนละ Timeline กันด้วย ดังนั้นบอนด์เจ้าใหม่ ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับบอนด์ของเก่า มันคือการรื้อใหม่หมด เข้าใจตรงกันนะครับ

พอรู้ดังนี้ เลยเข้าใจครับว่าทีมงานเขาอยากเป็นอิสระจากสูตรบอนด์เดิมๆ อยากเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง แล้วก็พาเจมส์ บอนด์กลับไปสู่แนวทางแห่งสายลับขนานแท้ โดยที่ผู้สร้างไม่ได้บอกว่าบอนด์แบบเก่าไม่ดีแล้วจึงตัดสินใจทำบอนด์แบบใหม่นะครับ ไม่ใช่เลย เขาแค่เห็นว่าบอนด์แบบดั้งเดิมนั้น ทำกันมาตั้ง 20 ภาค ซึ่งมันก็วนไปเวียนมาซ้ำแนวทางเดิมจนอาจจะทำให้คนดูเบื่อ และบอนด์ก็ไม่ได้เติบโตไปไหน จึงตัดสินใจสร้างบอนด์แนวใหม่ เพื่อให้บอนด์ได้โตขึ้นอีกในอนาคต เนื่องจากรสนิยมการดูหนังของคนยุคใหม่ก็เริ่มชอบเรื่องราวที่สมจริง ชอบพระเอกที่มีความเป็นคน มีเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นรสนิยมที่บอนด์ฉบับนิยายมีพร้อมอยู่แล้ว เขาเลยจับบอนด์มายกเครื่องใหม่ ดังนั้นเหตุผลที่บอนด์ถูกแปลงโฉมจึงไม่ได้เกี่ยวกับของใหม่ดีกว่าหรือของเก่าแย่กว่าหรอก มันเป็นการปรับตามความเหมาะสม ปรับเพื่อให้บอนด์ได้มีอะไรใหม่ๆ

เอาล่ะ เมื่อเข้าใจในเชิงเบื้องหลังแล้ว มาเข้าหาเบื้องหน้ากันนิดหนึ่งนะครับ สิ่งที่เกิดระหว่างแฟนบอนด์เก่ากับคอบอนด์ใหม่คือความต่างทางความชอบและความคิด ซึ่งผมก็พูดเสมอว่าคนเรามองต่างกันได้ ยิ่งความชอบนี่ต่างกันแทบทั้งนั้นล่ะครับ หายากที่จะมีใครชอบเหมือนกันหมด

อันที่จริงไม่ว่าจะบอนด์เก่าหรือบอนด์ใหม่ก็มีจุดด้อยจุดดีด้วยกันทั้งสิ้นล่ะครับ ทำให้ถ้าวัดกันแง่ของข้อเท็จจริงหรือหามาตรวัดมาตรวจสอบกันไปเลยว่าบอนด์ภาคไหนดีกว่ากัน ตอนไหนเยี่ยมที่สุดก็ไม่อาจทำได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ เพราะมันจะมีเรื่องความชอบส่วนตัวเข้ามาข้องแวะด้วย เจ้าความชอบนี่แหละครับคือตัวแปรสำคัญที่ตัดสินความดีความไม่ดีของหนังสำหรับแต่ละคนได้

qos_poster4

สิ่งที่เกิดขึ้นบอร์ดอันเนื่องมาจากบอนด์นั้นคืออะไร… คนสองกลุ่มที่ชอบบอนด์เหมือนกัน แต่ต่างยุคต่างสมัย บางคนรักภาคเว่อร์ๆ เอามันส์ แต่บางคนก็ชอบของใหม่ ไม่ชอบของเก่า แล้วพอมีหนึ่งคนเริ่มบ่นบอนด์แบบใดแบบหนึ่ง คนที่ชอบบอนด์แบบนั้นก็จะเข้ามาพูดเกทับทันที สุดท้ายก็ทับกันไปกันมา จนแล้วจนรอดคนที่ไม่ชอบบอนด์ของใหม่ก็ยังไม่ชอบ แล้วยังไม่ชอบหนักกว่าเก่าเพราะโดนคนชอบบอนด์แบบใหม่มา คิดแย้งซ้ำยังหยามเวอร์ชั่นเก่าอีก ในทางกลับกัน เมื่อคนชอบบอนด์เก่ามาสับของใหม่ คนชอบพี่เคร็กก็เอาบ้าง… เวียนไปวนมาเป็นจงกลมซ้ำไปเรื่อยๆ ผมดูแล้วก็รู้สึกนะ ว่า “คนชอบบอนด์เหมือนกันแท้ๆ แต่แค่ต่างคนต่างแบบเท่านั้นเอง” จริงๆ ถ้ามองแบบง่ายๆ ว่าคนชอบแบบไหนก็ชอบไป ยังไงเราก็ไม่สามารถไปโน้มน้าวใจหรือต้อนให้เขาจนมุมได้ง่ายๆ หรอก คนจะชอบอะไรก็ต้องรอให้เขาชอบเอง ไม่มีใครบังคับใครได้ สู้เราเอาเวลามาแลกเปลี่ยนความประทับใจของบอนด์ต่างแบบ น่าจะให้ความรู้สึกที่ดีต่อกันเยอะกว่านะครับ

ผมไม่ใช่คนวิเศษมาจากไหนครับ ผมก็เคยเป็น เคยโต้ปกป้องสิ่งที่เราชอบตามกระทู้ต่างๆ และกล่าวตำหนิติสิ่งที่เราไม่ชอบแบบเต็มพิกัด ตอนทำนั้นด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่านแท้ๆ แต่พอเวลาผ่านไป ผมก็มองย้อนไปดู… เราเสียเวลาไปกับการ “หาเรื่อง” และ “พยายามบังคับใจคน” เยอะจังเน้อะ… ตอบ 10 กระทู้ กระทู้ละ 4 นาที… ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมงแล้ว… ถ้าผมเอาเวลาตรงนั้น ไปทำงาน เรียน อ่านหนังสือ หรือโทรหาพ่อแม่หรือคนรัก… มันจะมีประโยชน์กว่าการที่เราโต้แย้งขุดข้อมูลมาสู้กัน ถ้าเป็นเพื่อการแลกเปลี่ยนก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรารู้ด้วยใจเปิด คนอื่นก็รู้ด้วยใจเปิด มันก็จะเกิดประโยชน์ แต่ในกรณีแบบนี้ไม่เลยครับ ใจเราปิดอยากให้เขาเชื่อตามที่เราต้องการและยอมแพ้เรา ส่วนเขาก็ปิดเหมือนกัน… มันคงเป็นการสื่อสารที่งอกงามได้น้อย แต่ขุ่นข้องหมองใจกันมากกว่า…

ผมอยากลองชวนให้เรามองอีกด้านหนึ่งครับ สำหรับเรื่องนี้ นับแต่นี้เมื่อคุณเจอคนที่ชอบบอนด์แบบเก่าอยากให้คุณลองคิดว่า “อืมม์ อย่างน้อยเขาก็มีหนังที่ดูแล้วสนุก, เขามีความทรงจำดีๆ กับบอนด์เหล่านั้น, น่าสงสารเขาเน้อะ ที่ตอนนี้คงไม่มีบอนด์แบบเดิมๆ มาให้เขาดูอีกต่อไป แบบนี้ถ้าเขาจะหงุดหงิดนิดหน่อยก็ควรเข้าใจเขาเน้อะ ดูบอนด์แบบบันเทิงสบายๆ มาตั้ง 20 ตอน จู่ๆ มารู้ว่าจะไม่มีอีกต่อไป… คงต้องใช้เวลาทำใจหน่อยล่ะ”

หรือถ้าคุณเจอคนรักบอนด์แบบใหม่ คุณลองคิดว่า “อืมม์ เขาตีตั๋วเข้าไปดูหนังสักเรื่องแล้วรู้สึกชอบแบบนี้ น่าดีใจเน้อะ อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าเจอหนังที่คุ้มค่าตั๋ว, อืมม์ ดีแล้วเน้อะ พี่แดเนียล เคร็กแกโดนต่อต้านเยอะจนน่าจะเครียด แต่ตอนนี้มีคนชอบ ความเหนื่อยของเขาก็คงลดลง ซ้ำยังได้มีเงินใช้ ประสบความสำเร็จอีก… น่ายินดีออก ไหนจะทีมงานอีก มีหนังฮิตในมือ ทำเงินทำทอง ช่วยเพิ่มกำลังใจให้พวกเขาได้เยอะ เพราะผลงานเขาได้รับการตอบรับที่ดี… น่าชื่นใจออก” ลองดูครับ มาช่วยกันลองมองดูมุมดีกัน

และอีกหนึ่งประโยคที่อยากขอให้ทุกท่านที่เจอคนเขียนถึงบอนด์ไม่ว่าจะสุภาพหรือไม่ ชอบของใหม่หรือเก่า โปรดลองคิดว่า “โอ้ เราเจอคนชอบบอนด์เหมือนเราเพิ่มอีกคนแล้ว” จะแบบเก่าแบบใหม่ ก็บอนด์อยู่ดีน่ะแหละ

คิดดี มองดี จิตใจก็สบาย แล้วคุณจะพบมิตรผู้รักบอนด์เต็มบอร์ดไปหมดเลยครับ…ถึงตอนนี้ผมเลยอยากจะพูดสรุปท้ายว่า “ผมชอบบอนด์ครับ … เจมส์ บอนด์”

… จริงๆ ผมยังได้เขียนจดหมายถึงคุณบอนด์คนใหม่เอาไว้ด้วยนะครับ ถ้าไม่เสียเวลาจะลองอ่านก็ไม่ผิดกติกาอะไร (อันนี้ก็เคยลงในคอลัมน์ของ MovieTime มาแล้วเช่นกันครับ)

qos_poster5

 

The Letter For Mr. Bond

สวัสดีครับคุณบอนด์… คุณไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักคุณมานานหลายปี รู้จักคุณในหลายใบหน้าตั้งแต่สมัยที่คุณมีหน้าเป็น Sean Connery ที่สุขุมลุ่มลึก มีเสน่ห์พอๆ กับพิษสง จากนั้นคุณก็มีหน้าเหมือนนายแบบโฆษณานาฬิกาโรเล็กซ์อยู่พักหนึ่ง เขาชื่ออะไรนะ… George Lazenby ตอนคุณอยู่ในหน้านั้นคุณได้พบกับปฏิบัติการที่เข้มข้นพอประมาณ แต่น่าเสียดายที่คุณจอร์จเอาแต่ใจไปหน่อย หน้าคุณเลยเปลี่ยนเป็น Roger Moore คุณดูเป็นบอนด์เจ้าสำอางค์ผสมกับไอ้จอร์จแห่งควอนตัมเทเลวิชชั่น ที่ชอบมีนวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอผู้ชมเสมอ (และคุณก็เปลี่ยนซาร่าทุกภาคด้วย สวยๆ ทั้งนั้น) ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนหน้าเป็นพ่อดาราเชคสเปียร์ Timothy Dalton ซึ่งผมชอบบุคลิกที่ดูเป็นมนุษย์ของเขาพอสมควร แต่เสียดายที่คนอื่นๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไร… ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเมื่อคุณกลับมาในหน้าของ Pierce Brosnan ชื่อเสียงของคุณก็โด่งดังกลายเป็นสายลับแถวหน้าที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ปฏิบัติการของคุณก็เร้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนปฏิบัติการที่ 20 ก็อุดมไปด้วยกีฬาเอ็กซ์ตรีม ขาดแต่ปั่นจักรยานกับเล่นโรลเลอร์เบลดเท่านั้นแหละ แต่ก็เมามันส์ถูกใจคนดูทั่วไป ไม่ผิดหวังเท่าไรว่าอย่างนั้นเถอะ

ส่วนตอนนี้ คุณได้เปลี่ยนโฉมหน้าอีกครั้งเป็นชายที่ชื่อ Daniel Craig และเปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่อง พร้อมทั้งเปลี่ยนบุคลิก อีกทั้งยังเป็นการเริ่มปฏิบัติการแรกๆ ของคุณ จนเรียกได้ว่าคุณคือมือใหม่ตัวจริงสำหรับวงการสายลับ MI6 ด้วยความที่ผมติดตามคุณมานาน ผมจึงอยากเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงความเป็นห่วงและหยิบเอาบางส่วนเสี้ยวจากภารกิจเสี่ยงตายหลายหลากของคุณมาพูดถึง เมื่อคุณอ่านแล้วหวังว่ามันจะช่วยคุณลับเขี้ยวเล็บพยัคฆ์ให้คมยิ่งขึ้น และเหนืออื่นใดคือผมได้สอดแทรกคำแนะนำ ความคิดเห็นกับมุมมองแก้ไขปัญหาที่คุณประสบอยู่ แก้มันอย่างสร้างสรรค์โดยอิงกรณีตัวอย่างจากปฏิบัติการของคุณ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์กับใครก็ตามที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ซึ่งผมต้องบอกว่าภารกิจใหม่ของคุณกับลักษณะบุคลิก การตัดสินใจของคุณน่าสนใจ เหมาะจะนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป

แต่แน่นอนว่าจดหมายนี้ย่อมมีการเปิดเผยเนื้อในภารกิจทั้งหลายของคุณบอนด์ จึงควรระมัดระวังไว้หากท่านใดยังไม่เคยเห็นเนื้อในของภารกิจเหล่านั้นมาก่อนและยังไม่อยากทราบ อยากเห็นด้วยตาตนเองก็ขอให้ไปดูภารกิจล่าสุดของคุณบอนด์ก่อน แล้วค่อยแวะเวียนมาอ่านอีกครั้ง… ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะครับคุณบอนด์

qos_poster6

ประเด็นแรก เจ้าหน้าที่มือใหม่

ในปฏิบัติการของคุณที่ชื่อ Casino Royale ถือเป็นการแนะนำตัวคุณให้ชาวโลกได้รู้จักกับสายลับบอนด์มาดใหม่ ที่เพิ่งได้รับการบรรจุเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ MI6 เป็นยอดพยัคฆ์ราชินีที่ได้สิทธิ์สังหารรหัส 00 มาหมาดๆ ลีลาการออกลุยภาคสนามของคุณเลยร้อนแรง ทำอะไรตามใจคิดและตามสัญชาตญาณ ไม่ใคร่จะฟังคำแนะนำของหัวหน้าอย่าง M สักเท่าไร ซ้ำยังวางหูโทรศัพท์ใส่ M จนคุณเธอของขึ้นเสียตั้งหลายรอบ แบบที่ไม่มี 007 คนไหนเคยทำมาก่อน (ถือเป็นรสชาติใหม่ที่เรียกเสียงหัวเราะให้ผู้ชมเป็นอย่างดี ผมเองก็ชอบครับกับมุกนี้)

กลับมาที่ความเป็นมือใหม่ของคุณก่อนนะครับ มันเป็นเรื่องปกติเมื่อเรารับภารกิจหรือทำการงานใดๆ เป็นครั้งแรกๆ แม้เราจะเชี่ยวชาญหรือเก่งในเรื่องนั้นๆ มากแค่ไหน แต่ครั้งแรกของการเข้าบรรจุทำงานในตำแหน่งนั้นๆ ตามบริษัทหรือองค์กรใดๆ มันย่อมต้องมีส่วนที่เข้าที่กับส่วนที่ยังไม่เข้าทางเสมอ เช่น การทำตัวให้เข้ากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งวิธีการทำงานที่คุณย่อมเป็นแบบหนึ่งส่วนองค์กรคุณอาจเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งก็ต้องมีการนำมาเคล้าเปลี่ยนแปลงให้มันเข้ากันที่สุด เพื่องานและภารกิจจะได้ลุล่วงดีที่สุด โดยเกิดความเสียหายน้อยที่สุด

แต่ในปฏิบัติการ Casino Royale ก็เล่นซะน้ำหมากป้า M กระจายไปหลายหนเลยนะครับคุณบอนด์ ผมเลยอยากลองนำกรณีตัวอย่างแบบนี้มาสนทนาแลกเปลี่ยน พร้อมหาแนวทางการปรับตัวเข้ากับตำแหน่งใหม่ รวมไปถึงท่านอื่นๆ ที่ได้อ่านเนื้อความในจดหมายนี้และกำลังอยู่ในสภาวะต้องปรับตัวเข้ากับที่ทำงานใหม่ด้วย

Quantum of Solution: ทุกครั้งที่เราจะนำปลาทองที่ซื้อมาใหม่ใส่ลงบ่อหรือตู้นั้น เราต้องค่อยๆ หย่อนถุงลงในน้ำ จากนั้นก็ค่อยๆ ให้น้ำในตู้ไหลผสมมาผสมกับน้ำในถุง เมื่อได้ระยะหนึ่งค่อยเทปลาลงตู้หรือไม่ก็หย่อนรอไปสักพักปล่อยให้ปลาค่อยๆ ว่ายเข้าตู้น้ำก็ได้ นี่แหละครับการปรับตัวง่ายๆ ของธรรมชาติ

คนก็เช่นกัน ยามต้องไปเริ่มต้นทำงานหรือแม้แต่ย้ายที่อยู่ไปไหนก็ต้องปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม อย่างกรณีของคุณบอนด์นั้นมาพร้อมสไตล์ลุยเดี่ยว ไม่เน้นประสานงานให้บานเบอะ ซึ่งในมุมหนึ่งดีครับที่คุณบอนด์พบแนวทางการทำงานของตนที่ฉายเดี่ยว แต่ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่ามีทั้งที่งานสำเร็จและไม่เป็นไปตามคาดหมาย เช่นเดียวกับการทำงานทั้งหลายที่บางชิ้นเราทำเองคนเดียวได้ แต่บางอย่างก็ต้องให้คนอื่นช่วยด้วย

แต่ก็ดีที่อย่างน้อยคุณบอนด์ก็มีมิตรบ้าง อย่างเฟลิกซ์ ไลเตอร์ ซึ่งช่วยให้งานคุณไปได้ไกลกว่าเดิม นอกจากจะคอยบอกข่าวสาร แล้วยังเป็นพี่เลี้ยงระงับโทสะคุณเมื่อตอน Casino Royale มิตรดีแบบนี้ควรรักษาไว้ให้มั่นครับ

คุณบอนด์อาจไม่ต้องปรับตัวทำงานตามตำราของ MI6 เป๊ะๆ ก็ได้ เอาแค่รู้กระบวนการขั้นตอนการทำงานในองค์กรเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ทำตามทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็จะได้ไม่ไปขัดแข้งขาเจ้าหน้าที่คนอื่น งานโดยรวมจะได้ไม่เสียหาย ทำความเข้าใจก็ดีครับ การทำงานคนเดียวให้ดีจะต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจากการตัดสินใจของเรา นั่นถึงจะเรียกว่าฉายเดี่ยวแล้วรุ่ง เพราะองค์กรจะรุ่งด้วย ซึ่งผมเห็นแล้วว่าคุณบอนด์เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ในตอนท้ายของ Quantum of Solace เมื่อคุณไม่ตัดสินใจสังหารแหล่งข่าวสำคัญ ทั้งๆ ที่คนผู้นั้นได้ฝากรอยแผลใหญ่หลวงไว้กับคุณและคนที่คุณรักอย่างเวสเปอร์ ลินด์ ผมขอชื่นชมครับ แม้คุณจะยังไม่ใช่บอนด์แบบเก่าที่ผมชื่นชอบ แต่คุณก็กำลังเข้าใกล้วิถีแห่งบอนด์ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บและมากไปด้วยความรอบคอบยิ่งขึ้น

โดยสรุปนะครับคุณบอนด์ ในระยะแรกคุณทำงานแบบไม่สนใจใคร เน้นความคิดตนเป็นหลัก จนเกิดบาดแผลกับตัวและใจคุณหลายครั้ง ระบบการทำงานของ MI6 ก็ต้องมาปั่นป่วนเพราะคุณ แต่เมื่อเวลาผ่านไป บาดแผลเหล่านั้นช่วยเตือนสติและสอนคุณ คุณเริ่มจะประสานงานกับคนอื่น เริ่มเรียนรู้ที่จะไว้ใจ ในแต่ละองค์กรนั้นไม่มีที่ไหนไร้ข้อติหรอกครับ ทุกองค์กรล้วนมีจุดเด่นจุดด้อยด้วยกันทั้งสิ้น แต่องค์กรใดที่สามารถยืนยงมาได้ถึงทุกวันนี้ย่อมแสดงว่าองค์กรนั้นมีดี มีจุดแข็งที่น่าศึกษา ดังนั้นมันก็ไม่เลวครับหากคุณบอนด์จะลองศึกษาแนวปฏิบัติของ MI6 คุณอาจพบจุดอ่อนเพื่อที่คุณจะได้ไม่เพลี้ยงพล้ำทำมัน และได้เจอจุดแข็งที่คุณสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้งานคุณราบรื่นยิ่งขึ้น หลักการนี้ใช้ได้กับทุกคนที่ทำงานในองค์กร เลือกที่จะฝนตัวคุณให้แข็งและเปี่ยมความสามารถ โดยใช้จุดแข็งของคุณมารวมกับจุดแข็งขององค์กร แล้วคุณจะก้าวหน้าได้ไม่ยากเย็น

 

qos_poster7

 

ประเด็นที่สอง เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว

เนื่องจากเราเป็นคนนะครับคุณบอนด์ ย่อมมีหลายมุมในชีวิต ทั้งมุมงาน มุมครอบครัว มุมส่วนตัว และมุมสังคม เรารู้กันดีว่าหากจะอยากให้มุมไหนไปได้สวย เราก็ต้องทุ่มเทให้กับมุมนั้น โดยที่อย่าให้มุมอื่นเข้ามาปั่นป่วน เช่น เรื่องงานที่เราทำอยู่ดีๆ แต่หากเกิดข่าวร้าย เกิดความไม่สบายใจขึ้น เรื่องส่วนตัวนั้นอาจส่งผลกระทบต่องานได้อย่างง่ายดาย และส่วนใหญ่มันจะไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก ดังนั้นคงจะดีมากหากเราแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานได้แบบเด็ดขาดเหมือนปิดเปิดสวิทซ์ไฟ… แต่มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกจริงไหมครับ อย่างแกนหลักสำคัญที่ทำให้คุณเดินหน้าในภารกิจตอน Quantum of Solace ก็หนีไม่พ้นเรื่องส่วนตัว และต่อให้เป็นตัวผมเอง หากเจอเหตุการณ์แบบนั้นผมก็ไม่คิดว่าจะแยกเรื่องส่วนตัวออกจากหัวสมองได้ดั่งใจนึก พูดแนะนำคนอื่นนั้นง่ายครับ แต่ทำเองนั้นมันหาได้ง่ายเช่นนั้นไม่ แต่จากสิ่งที่คุณบอนด์เป็นนั้น ผมว่ามันน่านำมาพูดถึงทีเดียว

Quantum of Solution: การยับยั้งชั่งใจและคิดล่วงหน้าไปถึงอนาคตเป็นตัวช่วยที่ดีก่อนเราจะเอาเรื่องงานกับส่วนตัวมาปนกัน ผมชอบฉากที่คุณตามตัวคนรักเก่าของเวสเปอร์ แล้วเล็งปืนเตรียมยิงใส่มัน ถ้าเป็นคุณคนเก่าคุณคงจัดการส่งมันลงนรกให้หมดเวรหมดกรรมกันไป แต่คุณคิดล่วงหน้าและเข้าใจว่าหมอนี่สำคัญต่องานของคุณ สำคัญต่อการตามสืบความจริงขององค์กรนรกนี้ ผมยังแอบขำตอนที่ M ถามคุณว่า “ยังไม่ฆ่าเขาเหรอ” ด้วยคำถามนี้เจ้านายของคุณเริ่มนับถือความสามารถของคุณขึ้นมาอีกระดับ

แนวทางสำหรับการจัดการคือการที่คุณคิดมองการณ์ไกลไปข้างหน้า สมมติว่าคุณเป็นพนักงานบริษัทกำลังจะเซ็นสัญญามูลค่าเป็นล้าน แต่คุณกลับต้องติดต่อกับคนรักเก่าของแฟนคุณ หมอนี่อาจเคยทำไม่ดีกับคุณไว้มาก จนคุณไม่อยากร่วมงานกับเขาไม่ว่าทางใดๆ แต่หากคุณใช้อดีตมาสั่งความคิดในปัจจุบัน มันย่อมเกิดเรื่องไม่ดีกับงานที่คุณรับผิดชอบแน่นอน คุณจึงควรคิดไปถึงอนาคต เพราะอดีตผ่านไปแล้ว แต่อนาคตยังมาไม่ถึง มันจะมาถึงในสภาพไหนก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในปัจจุบัน ซึ่งการคิดไปถึงอนาคตก็ถือเป็นการช่วยดึงความคิดให้พ้นจากอดีตและพ้นจากเรื่องส่วนตัวในปัจจุบันได้ คลายความหมกมุ่นได้ในระดับหนึ่ง

หรือระหว่างที่คุณกำลังทำงานอยู่ดีๆ ก็มีโทรศัพท์จากทางบ้านโทรมาบอกว่าเย็นนี้คุณต้องไปช่วยญาติโดยการออกเงินค่าซ่อมรถให้เขาไปก่อน เพราะเขากำลังขัดสนและไม่มีเงิน และคุณก็ต้องช่วยอย่างไม่มีทางเลี่ยงเพราะเป็นคำสั่งจากพ่อแม่… การที่คุณเจอเรื่องไม่สบายใจระหว่างทำงานอาจส่งผลให้คุณทำงานต่อไม่ไหวเลยก็ได้ คุณจึงควรรีบหาทางออก ทำอะไรก็ได้เพื่อหลีกหนีจากความไม่สบายใจนั้น เพื่อดึงพลังให้ฟื้น จะได้มีแรงกลับมาทำงานต่อ สำหรับคุณนะครับคุณบอนด์ คุณคงใช้วิธีบู๊ระห่ำกระทืบผู้ร้ายให้กำซาบสาใจ ก็ถือเป็นการระบายความไม่สบายใจทางหนึ่ง แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงใช้วิธีเบาๆ เช่น ออกไปสูดอากาศ, เดินรับลม, ออกกำลังกาย, พักงานครึ่งวัน หรือไม่ก็หาเพื่อนคุย แต่จุดสำคัญคือคุณต้องรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังมีเรื่องไม่สบายใจ จะได้หาทางออกได้ทันท่วงที ไม่ใช่ปล่อยให้เราจมอยู่กับเรื่องนั้นจนงานการพาลเสียหายไปหมด

 

 

ประเด็นที่สาม อารมณ์กับความแค้น

คุณบอนด์ครับ คุณในใบหน้าของ Craig ถือว่ามีระดับความเจ้าคิดเจ้าแค้นสูงใช่เล่น เรียกได้ว่ามากกว่าบอนด์สมัยใบหน้าของ Dalton เสียด้วยซ้ำ เห็นได้จากตอนที่คุณเกือบเอามีดไปปักอกนายเลอ ชีฟ ตอนที่แพ้พนันหรือฆ่าวายร้ายทุกคนอย่างโหดสุดขีดแทนที่จะถามข่าวสารใดๆ ก่อน… แต่ใน Quantum of Solace ผมได้เห็นคุณเปลี่ยนไปคุณสุขุมขึ้น เดินกลางหิมะโปรยได้อารมณ์บอนด์ที่เติบโตขึ้น เหมือนคุณเริ่มปล่อยวางจากความแค้นขึ้นอีกนิด… ผมเชื่อว่าคุณคงเห็นสัจธรรมเรื่องความแค้นจากผู้หญิงข้างกายคุณ คามิลล์ มอนเตส

คามิลล์มีความแค้นต่อนายพลท่านหนึ่งอย่างฝังลึก เธอสาบานว่าจะฆ่าเขาเพื่อแก้แค้น ผมชอบฉากที่คุณกับเธอสนทนาเรื่องความแค้นในถ้ำ ประโยคที่เธอบอกว่า “ถึงวาระที่คุณแก้แค้นแล้วบอกด้วย ฉันอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร” น่าแปลกดีที่ความแค้นไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตามันหรอก อาจจะไม่รู้ความหมายจริงแท้ของมันด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าคนอื่นๆ ทำตามกันมา รู้แค่ว่าถ้าใครทำเราเจ็บช้ำ ต้องตอบแทนเอาคืนอย่างสาสมที่สุด แต่ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะให้อะไรกับเรา มันทำให้เราเจ็บมากขึ้นหรือน้อยลง มันปลดปล่อยตัวเราจากความทุกข์ได้จริงหรือไม่

ความแค้น คือ สิ่งที่คนทำอื่นกับเรา… หรือเราทำกับตนเองกันแน่?

และตอนที่ผมรอคอยก็มาถึง เมื่อคามิลล์ลงมือแก้แค้นจัดการนายพลคนโฉดด้วยมือตนเอง เธอทำสำเร็จ… แล้วเธอรู้สึกเช่นไร… รู้สึกดี สบายใจหรือไม่… ผมไม่รู้ ผมเห็นแต่เธอนอนตื่นกลัวเหมือนเด็กๆ กอดตัวเองร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง ทำอะไรไม่ถูกทั้งๆ ที่จะโดนไฟคลอกตายอยู่ในไม่ช้า ถ้าคุณไม่ช่วยเธอไว้ เธออาจตกอยู่ในสภาพช็อกเช่นนั้นจนโดนพระเพลิงมาเอาชีวิตไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้… ตอนนั้นผมเห็นหน้าตาของการล้างแค้นอย่างชัดเจน

มันคือใบหน้าของคนไม่เหลือสติ ไม่เหลือรอยยิ้ม และไม่เหลือความสุขใดๆ… นอกจากการล้างแค้นจะไม่ช่วยเอาอะไรที่เธอเสียไปกลับคืนมาให้เธอได้ ยังพรากเอาความสดใส ความสุขไปจากเธอจนหมดสิ้นด้วย

ผมเห็นใบหน้าแบบนี้หลายครั้ง ไม่ว่าจะจากชายชื่อ บรูซ เวย์น ที่ชอบแต่งชุดมนุษย์ค้างคาวไปปราบอธรรมอันเนื่องจากความรู้สึกแค้นที่ผู้ร้ายยิงพ่อแม่เขาตาย… รู้สึกเรื่องของเขาจะมีชื่อว่า Batman… เขาดูไร้ความสุข

ส่วนอีกครั้งผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนกองกับพื้นห้องน้ำร้องไห้ราวคนที่แหลกสลายสูญสิ้นซึ่งทุกอย่าง ผมจำชื่อเธอไม่ได้แม่น รู้แต่เธอเป็นเจ้าสาวที่เก่งวิชาดาบอย่างยิ่ง และเธอมักบอกกับใครๆ เสมอว่าเธอต้องการจะ Kill Bill เพื่อแก้แค้น… แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นว่า เธอไร้ความสุข ถ้าเธอไม่มีลูกสาวตัวน้อยไว้คอยโอบกอดในตอนท้าย เธอคงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว…

หรืออีกหนึ่งสายลับที่มีความละม้ายคล้ายกับคุณ เขาชื่อ เจสัน บอร์น ครับ ใบหน้าของเขาดูกึ่มๆ ตลอดกาลไขปริศนาความลับของตนเอง แม้เขาจะได้ลงมือชำระแค้น แต่ผมก็ไม่เห็นหน้าแห่งความสุขของเขา จนกระทั่งเขาได้ออกจากวังวนแห่งความแค้นนั้น มาทำร้านเล็กๆ กับคนรัก … คดีของเขามีชื่อว่า The Bourne Identity หากคุณสนใจอยากลองดู (แต่น่าเสียดายที่คนอื่นไม่ยอมปล่อยเขา จนเขาต้องกลับไปปฏิบัติการอีกตั้งหลายรอบ)

อันที่จริง แม้แต่คุณก็เถอะคุณบอนด์ ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าที่มีความสุขหลังจากปลิดชีพวายร้ายทั้งหลายที่เรียกเลือดจากตัวคุณเลย… ผมก็ขออนุมานว่ามันคงไม่สามารถเรียกความสุขมาให้คุณได้เหมือนกันจริงไหมครับ

คุณเห็นคามิลล์ขดตัวกลม คุณมองเธอพักหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าคุณคิดอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่าในเวลาต่อมา คุณเพลาการฆ่าคนลงไปมาก… คุณคงคิดอะไรได้บางอย่างแน่นอน ใช่ไหมครับ

 

Quantum of Solution: ทั้งคุณ คามิลล์ และคนอีกหลายรายทำให้ผมมองเห็นความแค้นชัดขึ้น จะว่าไปแล้วมันคือระบบแห่งความยุติธรรมในยุคสมัยอดีต ที่ให้คนชดใช้สิ่งที่ทำด้วยการโดนทำร้ายชนิดเดียวกับที่ไปทำร้ายคนอื่น แล้วคนก็เริ่มยึดระบบนี้มาเรื่อยๆ เพื่อใช้เป็นอาวุธในการทวงความเป็นธรรมให้ตนเอง… แต่ดูเหมือนว่าการล้างแค้น การลงมือแก้แค้นจะไม่ได้ทำให้ใครพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง เพราะดูจากคนหลายคน เมื่อแค้นแล้วแก้มันด้วยเลือด ต่างก็ต้องประสบพบกับความเจ็บปวด จมอยู่กับความเศร้า… แล้วอะไรกันหนอที่เป็นพระเอกตัวจริง สำหรับกรณีความแค้นเหล่านี้ อะไรล่ะคือทางออกที่ดีกว่าการไปไล่ทำร้ายคนให้สาสม

คุณบอนด์คงเห็นแล้วใช่ไหมครับ … การให้อภัยต่างหากที่ช่วยปลดพันธนาการความเจ็บช้ำในใจ

แม้คุณจะไม่ได้ให้อภัยเหล่าร้ายทั้งหลายโดยปล่อยมันไป แต่คุณก็ลดความแค้นในใจลง เพราะรู้ว่ายิ่งมีมันมากเท่าไร ใจก็ยิ่งเป็นไฟสุมทรวง ยิ่งคุณได้มาเห็นกรณีของคามิลล์คุณก็ยิ่งมองอะไรชัดขึ้นกว่าเก่า

คุณจำที่คามิลล์พูดกับคุณได้ไหมครับ ว่าเธออยากช่วยคุณปลดปล่อยตนเอง แต่คุณนั่นแหละที่ยังขังตัวเองเอาไว้ ด้วยความโกรธ ด้วยเกราะทางใจที่คอยประคองจิตใจที่แหลกสลายของคุณ

คุณคงเห็นคามิลล์เดินจากไป โดยมีรอยยิ้มบนใบหน้า เธอไม่ได้มีความสุขที่ฆ่าเจ้านายพลนั่นได้ แต่เธอสบายใจที่วันนี้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความแค้นอะไรอีกต่อไป

ความแค้นไม่ใช่เรื่องที่น่าข้องเกี่ยวเท่าใดนัก ซึ่งผมคงไม่อาจโน้มน้าวใจคุณให้คลายความแค้นได้ หากคุณยังมีมันย่อมเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะมีมันต่อไป แต่หากคุณได้เรียนรู้จากคนรอบตัว จากคนที่ผมยกตัวอย่างมาให้ คุณคงเห็นแล้วว่า การหยุดความแค้นนั้นเริ่มได้ที่ตัวคุณ อันที่จริงต้องบอกว่าคุณคือคนเดียวที่จะลบความแค้นออกจากใจได้ ไม่ใช่การฆ่าใคร ไม่ใช่การเอาคืนกับผู้ใด แต่ทุกอย่างอยู่ที่ใจเราเอง

ผมรู้สึกว่าคุยกับคุณมาได้ระยะหนึ่งแล้วครับคุณบอนด์ แม้จะมีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากคุย แต่ผมก็รบกวนเวลาของคุณมากแล้ว คงขอหยุดเนื้อความในจดหมายเพียงเท่านี้ หวังว่าโอกาสต่อไปจะได้เขียนจดหมายถึงคุณอีก

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณครับ เรื่องที่เกิดกับคุณนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงได้หลายมุม แม้คุณจะยังไม่ใช่บอนด์ที่ผมโปรดที่สุด แต่คุณก็เป็นบอนด์ที่จุดประกายความคิดให้ผมเยอะที่สุด

ด้วยความนับถือและยินดีที่ได้รู้จัก

 

 

จบจดหมายแล้วล่ะนะครับเข้าเรื่องสรุปดีกว่าผมว่าตามที่คิดไปแล้ว ที่เหลือคุณตัดสินใจเองนะครับว่ารับบอนด์แบบนี้ได้ไหม หากรับได้ผมว่าคุณจะชอบภาคนี้ แต่หากรับไม่ได้ ก็ไปเปิดบอนด์ภาคเก่าๆ ดูรำลึกความหลังดีที่สุดครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.