The Magnificent Seven ถือเป็นหนังที่สมหวังเข้าเป้าอีกเรื่องหนึ่งครับ คือคาดหวังในระดับหนึ่ง ไม่ได้หวังว่ามันจะดีมากหรือสุดยอด ขอเพียงให้ออกมามันส์และเดินเรื่องได้ไม่น่าเบื่อ แค่นี้ก็โอเคแล้ว
แล้วผลที่ได้ก็ตามนั้นครับ ดูได้เพลินๆ แอ็กชันก็มันส์ใช้ได้ การเดินเรื่องก็จัดว่าน่าติดตาม อาจมีช่วงช้าบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับอืด ช่วงต้นก็แนะนำตัวละคร ช่วงท้ายก็ดวลเดือดกันแบบเต็มที่ ดูจบแล้วก็พูดได้เต็มปากว่าสนุกดีครับ
สำหรับ The Magnificent Seven นี้ก็รีเมคจากฉบับเก่าปี 1960 ซึ่งตัวต้นฉบับก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Seven Samurai ของ Akira Kurosawa อีกต่อหนึ่ง
ซึ่งผมเพิ่งเอาฉบับปี 1960 มาดูไปหนึ่งรอบก่อนหนังรีเมคจะเข้า ก็ยอมรับล่ะครับว่าเป็นหนังคาวบอยที่ดีเรื่องหนึ่ง แจกแจงตัวละครได้ดี แต่การเดินเรื่องอาจยังไม่กระชับนัก รวมถึงแอ็กชันที่สมัยนั้นอาจดูว่าเร้าใจ แต่หากเป็นคอหนังรุ่นใหม่ก็อาจไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรมาก
สำหรับฉบับนี้ หนังก็แจกแจงตัวละครได้โอเคครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นชัดเจนทางคาแรคเตอร์เท่าต้นฉบับ กระนั้นด้วยความที่ดาราที่มารับบทถือว่ามืออาชีพน่ะครับ เลยทำให้เราได้เห็นการแสดงดี ที่แต่ละคนก็สวมวิญญาณคาวบอยแต่ละคนได้แบบน่าจดจำ
Denzel Washington เท่ห์สุดครับ เอาแค่ฉากแรกก็ได้ใจแล้ว เปิดตัวได้อารมณ์หนังคาวบอยมาก ชนิดที่ถ้าจู่ๆ มีประโยคแบบ “เขาเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครทราบ” โผล่ขึ้นมา ผมก็ไม่แปลกใจล่ะครับ เพราะมันได้อารมณ์จริงๆ
Chris Pratt ก็ไปได้ดีกับบทจอช คาวบอยสายกะล่อนที่ก็ไม่ได้ทะเล้นจนเกินงาม แต่รายที่น่าจดจำเยอะหน่อยก็ Ethan Hawke ที่ผมว่าบทนี้เหมาะกับเขาทีเดียวครับ ส่วนรายอื่นๆ ก็น่าจดจำด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึง Haley Bennett ในบทหญิงแกร่งผู้สูญเสีย ที่ตัดสินใจออกมาตามหาผู้กล้าไปช่วยหมู่บ้านของเธอ
หนังมาตามขนบหนังคาวบอยน่ะครับ ตัวร้ายร้ายแบบเหลิงอำนาจ มาคุกคามชาวบ้าน พวกชาวบ้านเลยไปขอแรงคนเก่งมาช่วย ซึ่งฉากแรกก็ทำได้ชัดเจนดีครับ คือยิงเข้าเป้าเลยว่าคนร้ายมันเลวแค่ไหน และทำให้เราอยากเห็นพวกมันโดนเล่นงานใจจะขาด
ฉากภาคบังคับของหนังคาวบอยถือว่าครบนะ ไม่ว่าจะฉากค้างอ้างแรมกลางแจ้งยามค่ำคืน แล้วตัวละครก็นั่งคุยหรือไม่ก็นั่งเล่นมุกกันข้างกองไฟ หรือฉากจ้องหน้าก่อนลงมือยิงกัน นี่ยังไม่รวมฉากขี่ม้าเท่ห์ๆ กลางอาทิตย์อัสดงอีกนะ คือมาครบน่ะครับ
ในแง่ฉากแอ็กชัน ตอนจ้องหน้าข่มขวัญก่อนจะยิงกันทำได้ดีมาก ส่วนตอนยิงกันจริงๆ ก็มันส์ในระดับหนึ่งครับ แต่ดีกรีความเร้าใจอาจไม่พุ่ง มุมกล้องยังจับภาพความมันส์ได้ไม่ครบ บางฉากก็รัวจนไวเกินกว่าที่จะก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมหรือความเร้าใจได้
ที่คาดไม่ถึงคือหนังมีปมตัวละครด้วย ตอนแรกนึกว่าจะยิงกันเฉยๆ แต่นี่มีบางตัวละครมาพร้อมปมครับ อันนี้เกินคาด แต่เป็นเกินคาดในแง่ดีนะ และปมที่ว่าก็แอบทำให้คนดูสะเทือนใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน (ดาราที่มารับบทที่ว่า ก็จัดว่าเหมาะครับ ต้องพี่แกนี่แหละที่จะเอาบทนี้ได้อยู่)
Antoine Fuqua คุมหนังเรื่องนี้ได้ดีครับ ได้อารมณ์คาวบอยพอสมควร แต่ก็ยังไม่เต็มร้อยนะ แม้จะมีฉากภาคบังคับมาครบก็ตาม แต่ในแง่อารมณ์มันยังไม่ถึงขีดนั้น ไม่เหมือน Django Unchained หรือ The Hateful Eight ที่กลิ่นคาวบอยรุ่นเก๋าเตะจมูกชัดเจนกว่า หรือหากเทียบกับหนังคาวบอยระยะหลังๆ แล้ว True Grit และ 3:10 to Yuma ยังคงเป็นแถวหน้าในใจผมอยู่ดี
โดยรวมก็ถือเป็นหนังแอ็กชันคาวบอยที่ดูเพลินครับ ไม่ได้เด็ดโคตรๆ แต่ก็มันส์คุ้มค่าแก่การดู
ปล. ชอบประโยคนี้แฮะ “จงบอกตัวเองว่าเราสู้กับศึกเบื้องหน้า ไม่ใช่เบื้องหลัง” (เป็นประโยคที่ผู้พูดเอง ก็มีอะไรย้อนแย้งอยู่เหมือนกัน)
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Westerns