ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครรู้จักไหมนะครับ ถ้ายังไม่รู้จักก็ขอแนะนำเลยว่า Doctor Who คืออภิมหาซีรี่ส์ทางทีวีของอังกฤษที่สร้างต่อเนื่องกันมาโคตรจะยาวนานเลยนะครับ เริ่มสร้างครั้งแรก ก็ปี 1963 สมัยที่ทีวียังเป็นขาวดำโน่นน่ะแล้วก็ต่อเนื่องมาจนถึงปี 1989 ก็ 26 ซีซั่นนะครับผม(ดูกันตาเหลือกเลยคุณเอ้ย เพราะเขามีทำ DVD ออกมาด้วย แค่เห็นเอาตั้งเรียงก็สุดๆ แล้วล่ะครับ) พอปี 1989 นั่นทีมงานก็หยุดพักไป

จนปี 1996 ที่ผ่านมา ทาง 20th Century Fox ได้ขอสิทธิ์ซีรี่ส์นี้จาก British Broadcasting Corporation หรือที่เรารู้จักกันในนามของ BBC ซึ่งเป็นผู้สร้างซีรี่ส์นี้ตลอดมา โดย Fox ขอสิทธิ์เอามาทำเป็นภาคพิเศษฉบับภาพยนตร์ตอนเดียวจบ ที่เอาไว้ฉายทางทีวีนะครับ และหากผลออกมาดีก็จะสร้างเป็นซีรี่ส์ยาวไปเลย

ก็ต้องท้าวความสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักนะครับ ซีรี่ส์ชุดนี้จะมีตัวเอกซึ่งก็คือ เดอะ ด็อกเตอร์ มนุษย์ต่างดาวผู้เดินทางด้วยเครื่องไทม์แมชชีนทรงตู้โทรศัพท์นะครับ ที่ต้องคอยทะลุมิติไปต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวชั่วร้ายสารพัดชนิด หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์มรณะอีกมากมาย เรื่องราวก็จะประมาณนี้แหละครับ ซึ่งก็สนุกแบบอังกฤษนะครับ ไม่ได้แอ๊คชั่นมันส์ระเบิดแบบฟากอเมริกันเขา และจุดเด่นจริงๆ ต้องยกให้จินตนาการครับ สุดยอดจะล้ำเลย

และตัว ด็อกเตอร์ นี่ก็จะมีการเปลี่ยนแสดงไปเรื่อยๆ นะครับ ซึ่งในตอนจบของปี 1989 ผู้ที่มารับบท เดอะ ด็อกเตอร์คนสุดท้ายก็คือ Sylvester McCoy ซึ่งเป็นเดอะ ด็อกเตอร์คนที่ 7 นะครับ (ในซีรี่ส์เวลาจะเปลี่ยนตัวเดอะ ด็อกเตอร์ทีก็จะมีสาเหตุครับ เช่น ต้องลอกคราบหรือโดนทำร้ายจนต้องเปลี่ยนร่างใหม่อะไรเป็นต้น)

ส่วนเรื่องราวในตอนพิเศษนี้เกิด ขึ้นในช่วงวันที่ 31 ธันวาคมปี 1999 ช่วงมิลเลเนี่ยมไงครับผม ซึ่งครั้งนี้ เดอะ ด็อกเตอร์คนที่ 8 (Paul McGann) ต้องมาเจอกับ เดอะ มาสเตอร์ (Eric Roberts) ปีศาจแห่งกาลเวลา หนึ่งในคู่ปรับตัวฉกาจของด็อกเตอร์ที่ต้องการจะครอบครองโลกในช่วงวันส่งท้ายปีเก่า ปี 1999 งานนี้ ดร.ฮูก็ต้องเจอศึกหนักล่ะครับ เพราะมันโหดร้ายและไม่ปรานีใครไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น

หนังได้ Geoffrey Sax กำกับซึ่งเขาเพิ่งมีผลงานผ่านสายตาเราไปอย่าง White Noise ตัวหนังก็ทำได้ดีครับ ตามมาตรฐานหนังทีวี คือ ดูได้เรื่อยๆ แม้ความมันส์จะไม่มากเท่าฉบับทีวี ซึ่งสาเหตุที่รสมันแปลกไปก็น่าจะมาจาก การที่หนังเรื่องนี้สร้างโดย Fox ซึ่งนี่ถือเป็น Doctor Who ตอนเดียวที่ได้สร้างนอกดินแดนยุโรปนะครับ (นอกนั้นเขาสร้างกันแถบอังกฤษหมด) ลีลาและบรรยากาศเลยเป็นอเมริกันมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็โอเคครับ มีอะไรให้ลุ้นอยู่เหมือนกันในช่วงท้ายๆ น่ะ ก็เหมาะกับคอไซไฟอยู่นะครับ นักแสดงผมว่าไม่เลวน่ะ McGann ในบท เดอะ ด็อกเตอร์ก็โอเค แต่พี่แกจะดูตื่นกลัวมากไปหน่อย เพราะเดอะ ด็อกเตอร์ต้นฉบับจะมีอารมณ์ขันมากกว่านี้น่ะนะครับ ส่วนนางเอกของเรื่องอย่าง Daphne Ashbrook กับบท ดร.เกรซ ฮอลโลเวย์คุณหมอสาวที่เดอะ ด็อกเตอร์ไปพบโดยบังเอิญก็ดูเป็นสาวมั่นและแกร่งพอที่จะร่วมมือกับเขาได้ อีกทั้งเธอยังดูน่ารักแบบผู้ใหญ่อีกด้วย

ในขณะที่ Roberts ก็ดูน่ากลัวและร้ายกาจสมชื่อเดอะ มาสเตอร์ครับ และอีกคนที่เล่นได้ไม่เลวก็คือ Yee Jee Tso ในบทชางลี หนุ่มที่ไปพัวพันกับเรื่องนี้โดยไม่ตั้งใจ เป็นอีกบทที่ดูมีมิติดีครับ มีทั้งความดีและความเห็นแก่ตัว เป็นบทที่น่าสนใจไม่น้อย

ความจริงแล้ว Fox มีแผนจะเอาซีรี่ส์นี้มาทำเป็นซีรี่ส์เรื่องยาวนะครับ และตอนนี้ Fox กะจะให้เป็นตอนแรกเริ่ม แต่สุดท้ายก็ต้องพับไปโดยปริยาย เพราะแม้ตอนฉายที่อังกฤษเรื่องนี้จะได้รับเรตติ้งจะดีมากก็ตาม แต่ทางอเมริกากลับไม่ค่อยต้อนรับครับ เลยทำให้ Fox ล้มเลิกโครงการและคืนเรื่องให้ทาง BBC แล้ว BBC ก็เอามาทำต่อในช่วงปลายปี 2003 และล่าสุดขณะนี้ Doctor Who ก็ได้กลับมาอีกครั้งจนได้น่ะครับ เป็นซีรี่ส์เหมือนเดิมฉายอยู่ที่อังกฤษโน่น  ซึ่งก็ยังคงเป็นซีรี่ส์ที่ครองใจผู้ชมชาวอังกฤษอยู่เหมือนเคย และซีรี่ส์นี้ได้รับการชื่นชมเสมอมาครับว่าเป็นซีรี่ส์แนวไซไฟที่สนุกและล้ำ จินตนาการมาอีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจว่าจะมี VCD ออกมาอีกไหมนะครับ เพราะผมได้ดูตอนมันออก VDO และผมก็ค่อนข้างชอบอีกทั้งหนังยังได้ทีมพากย์มือเอกอย่างคุณจักรกฤษณ์ หาญวิชัย มาพากย์ด้วย ซึ่งรายนี้พากย์ยังไงก็ไม่ผิดหวังอยู่แล้วครับ

สรุปนะครับ แค่เอามาเล่าสู่กันฟังน่ะ เพราะตอนนี้ Doctor Who ก็กลับมาแล้ว ก็ถือว่าเอามาแนะนำให้คอไซไฟได้รู้จักกันน่ะครับ ตัวหนังก็ออกมาสนุกดี น่าพอใจสำหรับหนังไซไฟนะครับ ถ้ามีโอกาสดูก็ลองครับ ผมว่าใช้ได้เลยล่ะ

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)