ดีกรีรางวัลก็แทบไม่ต้องพูดถึงล่ะครับ คว้าไป 6 ตัวรวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีด้วย กับเรื่องราวของนายฟอร์เรสต์ กัมพ์ (Tom Hanks) ชายหนุ่มผู้ใสซื่อ มีชีวิตดั่งขนนกที่ลอยตามลมครับ ลมพัดไปทางไหน เขาก็ไปทางนั้น นั่นทำให้ชีวิตของเขาได้เจอกับอะไรที่หลากหลายเอามากๆ ได้เจอกับบุคคลสำคัญหลายราย ได้พบกับเหตุการณ์มากมาย และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้ น่าติดตามไปตลอด 140 นาทีเลยทีเดียว
หนัง ดีครับ ยังไงก็ต้องดูอีกเรื่องนึงแล้ว น่าติดตามและให้แง่คิดเยอะดีทีเดียว ดูเอาเพลินก็ได้ครับ เพราะหนังทำได้สนุกอีกต่างหาก เป็นผลงานของผู้กำกับ Robert Zemeckis แห่ง Back To The Future ทั้ง 3 ภาคนั่นแหละ พี่แกก็เก่งเหลือเกินจริงๆ ดนตรีของ Alan Silvestri ก็ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะไพเราะถึงขนาดโดนละครไทยเวียนเอามาใช้จนปัจจุบันก็ยังไม่เลิกเลย ให้อารมณ์ทั้งซึ้งและอบอุ่น งดงามและสดใส เหมือนตัวของฟอร์เรสต์นั่นแหละครับ
พี่ Tom แกไม่น่าจะใช่มนุษย์ครับ แสดงได้ดีอะไรจะปานนั้นครับ ได้ออสการ์ก็สมควรแล้วพี่ แล้วยังมีพี่ Gary Sinise อีก (คู่นี้เล่นเรื่องไหนล่ะเป็นได้บ้าทุกทีซีเอ้า) หนังได้ทีมดาราที่สุดยอด ได้ผู้กำกับที่รู้งานว่าควรผ่อนตรงไหนและควรรุกตรงไหน หนังมีแง่คิดหลากหลายและน่าติดตามแบบสุดๆ และจังหวะการเดินเรื่องก็สุดจะลื่นไหลครับ มีทั้งอารมณ์ดราม่าและเรื่องฮาๆ มาผสมกันอย่างลงตัว และที่เด่นมากๆ ในหนัง คืองาน Effect ที่ฮือฮามากในยุคนั้น โดยการที่ทีมงานสามารถใช้ CGI สร้างภาพคนที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมาโลดแล่นบทแผ่นฟิล์ม ไม่ว่าจะเป็นจอห์น เลนนอน หรือ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้
และประวัติการสร้างหนัง เรื่องนี้ก็เข้มข้นไม่ใช่น้อยครับ เรื่องเริ่มเมื่อประมาณปี 1985 Wendy Finerman ผู้อำนายการสร้างหญิงผู้นี้ได้ไปอ่านนิยายของ Winston Groom เรื่องนี้เข้าแล้วถูกใจครับ เลยจัดแจงขอซื้อโดย Finerman ได้เกลี้ยกล่อมรองประธานของบริษัท Warner Bros. ให้ซื้อเรื่องนี้มาด้วยสนนราคาเกือบ 4 แสนดอลล่าร์ แล้วก็เริ่มมีการวางตัวนักแสดงกันขึ้น โดยทั้ง Groom และ Finerman ต่างก็ช่วยกันเลือกดาราที่เหมาะกับบทกัมพ์ ดาราเหล่านั้นก็มี Dustin Hoffman, John Goodman, Nick Nolte, Bill Murray, Michael Keaton และ Robin Williams แต่ปรากฏว่าดาราที่พวกเขาหมายตาแต่ละคนต่างก็ไม่สนใจบทนี้เลย (เพราะบทนี้เป็นเรื่องของคนปัญญาอ่อนน่ะครับ แล้วดูท่าว่าจะไม่มีใครอยากแสดงบททำนองนี้เลย) ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ผู้กำกับอย่าง Penny Marshall หรือ Martin Brest (แห่ง Scent of A Woman) ก็ยังเซย์โนให้กับหนังเรื่องนี้
และถ้าจำไม่ผิด แม้แต่พี่ Robert Zemeckis เองก็เถอะ ยังไม่สนที่จะทำหนังเรื่องนี้เลยด้วย
โครงการ จะทำหนังเรื่องนี้ก็เริ่มจะมืดมนมากขึ้น เพราะดูท่าว่าจะไม่มีใครสนใจจะทำเลย และเหล่าผู้บริหารของ Warner ที่เคยสนับสนุน Finerman ก็โดนเปลี่ยนออกไปซะหลายราย จนในที่สุดเธอจึงตัดสินใจเอาโครงการหนัง Forrest Gump ไปเสนอกับค่ายดาวภูเขา Paramount Pictures ซึ่งผู้บริหารของค่ายนี้พออ่านบทปุ๊บก็สนใจทันที แล้วก็จัดแจงเปิดการเจรจาทางการค้ากับค่าย Warner โดยจะขอซื้อสิทธิ์หนังเรื่องนี้มาเป็นของค่าย Paramount แต่ทาง Warner ก็เล่นตัวครับเรียกเงินตั้งเป็นล้านแน่ะ ทำให้ทางค่ายดาวภูเขาก็ชักจะอยากถอนสมอกลับเหมือนกัน
แต่แล้วทางดาว ภูเขาก็เปลี่ยนกลยุทธใหม่ครับ จากการซื้อขายก็กลายมาเป็นแลกเปลี่ยนแทน โดย Paramount ได้เสนอแลก Executive Decision กับเรื่อง Forrest Gump ซึ่งทาง Warner นั้นอยากได้หนังเรื่อง Executive Decision มาทำนานแล้วครับ (อยากได้โคตรๆ อ้ะ แต่สิทธิ์เรื่องนี้ดันไปอยู่ที่ Paramount ซะก่อน) ดังนั้นเมื่อการแลกเปลี่ยนลงตัว ผลก็เลยลงเอยครับ ในที่สุดหนัง Gump ก็มาเป็นของดาวภูเขาจนได้
แล้วหนังเรื่องนี้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จะสร้างซะที โดยได้ Barry Sonnenfeld ผู้กำกับ The Addams Family (และ MIB ในเวลาต่อมา) มานั่งแท่นและ Tom Hank มารับบทนำ แต่แล้วซักพักนึง Sonnenfeld ก็เกิดเปลี่ยนใจเมื่อทางผู้สร้างหนัง Addams Family เกิดอยากสร้างภาคสอง เลยตามตัวพี่แกกลับไปทำหน้าที่กำกับดังเดิม โดยเสนอเงินเพิ่มให้อีกด้วย ทำให้ Sonnenfeld ต้องออกจากโปรเจคท์นี้ไปในที่สุด (จริงๆ พี่แกก็อยากกำกับต่อครับ เลยขอให ้Finerman เลื่อนกำหนดเปิดกล้อง Gump ไปก่อนได้หรือไม่ และเเจ๊แกก็ตอบว่าไม่ครับ (เพราะเธอสู้และรอการสร้างหนังเรื่องนี้มาจะสิบปีแล้วอ้ะ)
แล้วตอน ที่ Finerman ทำท่าจะหมดหวังอีกครั้งกับโปรเจคท์นี้ เธอก็ได้เจอกับ Robert Zemeckis อีกครั้ง และในครั้งนี้นี่แหละ ที่เขาตัดสินใจกำกับหนังเรื่องนี้จนได้ และหนังก็เปิดกล้องจนถ่ายทำสำเร็จเสร็จลุล่วง ด้วยทุนสร้างประมาณ 55 ล้านเหรียญ แต่รายได้ที่คืนมานั้นก็ประมาณ 673.8 ล้านเหรียญ แล้วยังมีรายได้จากการเช่าตอนออกเป็น VDO อีกกว่า 150 ล้านเหรียญ
เฮ่อ กว่าหนังซักเรื่องจะได้เป็นอย่างที่มันเป็น ได้เป็นหนังซัก 2 ชั่วโมงหน่อยๆ ให้เรานั่งดูเนี่ย มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ครับ
ไม่ดูจะเสียดายนะครับ
สี่ดาวเต็มครับ
(9/10)