หลังจากฉบับปี 1989 ล่มไม่เป็นท่า พอเวลาเดินมาถึงปี 2004 ก็มีการเอาเรื่องของพี่พันมาขึ้นจออีกครั้ง และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฮีโร่คนนี้ได้กลับมาใหม่ในตอนนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเพราะการที่หนังซึ่งสร้างจากการ์ตูนของค่าย Marvel ประสบความสำเร็จติดต่อกัน ไม่ว่าจะ Blade, X-Men หรือ Spider-Man
แฟรงค์ แคสเซิล (Thomas Jane) คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนที่มีครอบครัวเล็กๆ น่ารักและชีวิตอันเป็นสุข แต่แล้วจากงานปฏิบัติการล่าสุดของเขาได้ทำให้ลูกชายคนเล็กของโฮเวิร์ด เซนต์ (John Travolta) เจ้าพ่อรายใหญ่ของเมืองต้องมาตายไป เซนต์เลยสั่งให้ลูกน้องเขาไปฆ่าล้างโคตรตระกูลแคสเซิลซะ และแฟรงค์ก็รอดมาได้ และเขาก็พร้อมที่จะเอาคืน
นี่ไม่ใช่การล้างแค้นครับ แต่มันคือการลงทัณฑ์!
… อืมม์ … คือ ผมค่อนข้างชอบฉากและโทนของหนังครับ ภาพมันค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ดูมีความคมๆ ชัดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ทำให้อารมณ์หนังมันพอดีๆ ครับไม่หนักจนเกินไป ตรงนี้จัดว่าดีนะครับ เพราะตามจริงเนื้อหาของ The Punisher มันออกจะหนักกบาลไม่ใช่เล่น และหากหนังยังมาพร้อมบรรยากาศโทรมๆ แล้วล่ะก็ หนังคงดูหนักมากทีเดียว อย่างฉากบ้านของเซนต์ที่ผมว่ามันดูง่ายดีครับ ไม่ต้องมีเฟอร์นิเจอร์อะไรให้รกตา นั่นทำให้เราหันมาสนใจตัวละครมากขึ้นด้วย
แต่… บทน่ะครับ บท บทมันไม่ใคร่จะข้นเท่าไหร่น่ะครับ ตอนแรกโอเค น่าติดตามครับ ตั้งแต่ตอนที่คนของเซนต์สั่งคนมาฆ่าครอบครัวแคสเซิล แล้วแฟรงค์ก็รอดไป ช่วงแรกจัดว่าดี แต่ความน่าสนใจมันเริ่มดร็อป (สำหรับผม) หลังจากที่แฟรงค์ประกาศตัวต่อหน้าประชาชีว่าพี่แกยังไม่ตาย และหมายจะล้างแค้นด้วย แต่ที่น่าหนักใจคือ แฟรงค์ได้วางแผนให้โฮเวิร์ดกับลูกน้องผิดใจกัน แล้วพี่โฮเวิร์ดแกก็ตกหลุมตามแผนดังพลั่ก ทั้งๆ ที่พี่ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าแฟรงค์มันยังไม่ตาย
ผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่โฮเวิร์ดแกไม่เอาสมองมาใช้เลยรึยังไงกัน คือ เจ้าพ่อระดับครองทั้งเมืองแบบนี้น่าจะเอะใจบ้างว่ามันต้องมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะจู่ๆ สถานการณ์รอบตัวมันก็ทะแม่งๆ ขึ้นมาซะอย่างงั้น – ทะแม่งหลังจากแฟรงค์ประกาศตัวอีกต่างหาก – แต่นี่พี่แกไม่คิดเลยครับ นั่งอารมณ์เสียหัวหมุนอย่างเดียว ตกหลุมครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วตอนท้ายยังมาโดนกำจัดแบบง่ายๆ อีก อันนี้ยอมรับว่าแอบเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะลองว่าผู้ร้ายไม่เก่งแล้ว ความสนุกมันก็ลดลงไปไม่ใช่น้อย
Tom Jane จะว่าไปก็เหมาะกับบทดีครับ ส่วนพี่ Travolta ของผมนี่ พี่แกเท่ห์จริง แต่ไม่ฉลาดเลย คนละเรื่องกับสมัยที่เล่นเป็นตัวร้ายใน Swordfish เลยครับ เรื่องนั้นร้ายแบบมีสมองเยี่ยมจริงๆ แต่กับเรื่องนี้นี่… ไม่อยากนิยามว่าโง่ครับ แต่ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนแทน
อีกอย่างที่ค่อนข้างประหลาดใจคือดนตรีของ Carlo Siliotto นั้นก็ค่อนข้างนิ่งครับ ไม่ค่อยเร้าใจ เร้าอารมณ์ หรือเร้าความตื่นเต้น จุดนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไใช้บริการมืออาชีพอย่าง Randy Edelman (จาก Shanghai Knights) หรือเอาพี่ Marco Beltrami (จาก Hellboy) มาก็ได้ มันคงช่วยหนังได้มากเลยครับ ยิ่งฉากระเบิดช่วงท้ายเรื่องนั่น ถ้าดนตรีดันซะหน่อยล่ะก็ รับรองอารมณ์พุ่งสุดๆ
องค์ประกอบรวมๆ ของหนังนี่ผมว่าโอเคนะ ยิ่งพวกโลเคชั่นและฉากต่างๆ ต้องเรียกว่าเฉียบเลยล่ะ ดาราก็เลือกมาได้ดี เพียงแต่การห้ำหั่นกันระหว่างพระเอกกับผู้ร้ายยังไม่เด็ดพอ
ในแง่รายได้นั้นก็ถือว่ายังไม่เข้าเป้านักครับ ทำเงินไป $54 ล้านจากทั่วโลก แต่ลงทุนราว $33 ล้าน ก็ถือว่ายังไม่คุ้มทุน แต่ได้ข่าวว่าหนังมาได้รับการต้อนรับดีๆ อีกทีตอนออกแผ่น หนังเลยผ่านจุดคุ้มทุนและเข้าสู่โซนกำไรมาได้
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, Movie Reviews, Superhero, Thriller












