
ผมไม่สามารถจะรับประกันได้ว่าทุกท่านจะชอบหนังเรื่องนี้หรือไม่น่ะนะครับ แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่า ผมสนุกกับหนังเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว
ผมไม่สามารถจะรับประกันได้ว่าทุกท่านจะชอบหนังเรื่องนี้หรือไม่น่ะนะครับ แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่า ผมสนุกกับหนังเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว
Horns จะว่าไปก็ดูเพลินดีนะครับ รสชาติมันผสมๆ ระหว่างสยองขวัญ ระทึกขวัญ แล้วก็ตลกร้าย แม้อาจไม่ถึงกับกลมกล่อมไปเสียทั้งหมด แต่หนังก็มี “รสชาติความแปลก” แทรกลงมาให้รู้สึกโอเคกับมันได้อยู่ (หมายถึงถ้าเราชอบรสแปลกๆ นั่นน่ะนะครับ)
ขอออกตัวก่อนครับว่าไม่ใช่แฟนหนัง The Hangover ภาคแรกดูแล้วก็โอเคแต่ก็ไม่ได้ปลื้มมาก ภาค 2 ออกแนวดูได้สนุกดี ครั้นมาภาค 3 ก็รู้สึกดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
สำหรับหนังสยองหลายๆ เรื่องแล้ว ภาคต่อจะก่อกำเนิดเมื่อภาคแรกทำเงินเยอะพอ แต่กับ Scream แล้ว ไอเดียภาคต่อได้เกิดขึ้นตั้งแต่บทภาพยนตร์ภาคแรกเพิ่งเขียนเสร็จหมาดๆ
สมัยนี้หลายชายหรือหลายสาวมีกิ๊ก เห็นการมีคนรักทีละหลายคนเป็นเรื่องปกติที่พึงกระทำได้
นี่คือหนังที่ว่าด้วยคดีฆาตกรรมโหดในปี 1888 โดยฝีมือของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องที่ลงมือสังหารผู้หญิงแถบไวท์ชาเปลไปหลายศพ
Steve Martin พบ Eddie Murphy ในหนังตลกกัดฮอลลีวูดเรื่องเด็ดของผู้กำกับ Frank Oz (Little Shop of Horror) ลุง Steve เป็น บ็อบบี้ โบฟิงเกอร์ ผู้กำกับหนังทุนต่ำที่ใฝ่ฝันจะได้ร่วมงานกับ คิท แรมซี่ (Murphy) แต่เขาเป็นดาราใหญ่นี่หน่า ย่อมไม่ยอมมาแสดงให้ผู้กำกับโนเนมอยู่แล้ว บ็อบบี้เลยแอบตามถ่ายโดยที่คิทไม่รู้ตัว โดยกะจะเอาภาพทั้งหลายไปทำเป็นหนัง แล้วเรื่องบ้าๆ ก็เริ่มต้นครับ
ภาคนี้ออสติน พาวเวอร์และดร.อีวิล ยังต้องมาตีกันต่อไป (Mike Myers รับบททั้งคู่) แต่คราวนี้พวกเขาก็ย้อนเวลาไปตีกันในยุค 60 ครับ เพราะดร.อีวิลย้อนเวลาไปขโมยโมโจของออสติน ออสตินเลยต้องไปตามคืน (โมโจ คือ ขุมพลังแห่งเซ็กซ์ครับ เออ หมกมุ่นจังพี่)
นี่ก็เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากซีรี่ส์สุดฮิตในปี 1965 นะครับผม เรื่องราวยังคงเดิมเป๊ะ นั่นก็คือโลกของเราในอนาคตนั้นจะเป็นสถานที่ที่อยู่ไม่ค่อยได้แล้วครับ เลยต้องมีการหาโลกแห่งใหม่ ซึ่งศจ.จอห์น โรบินสัน (William Hurt) ก็ค้นพบว่ายังมีดินแดนที่อัลฟ่า ไพร์มซึ่งสามารถย้ายคนไปอยู่ได้