การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศหนึ่งเมื่อวันวานขึ้นมาได้ครับ
การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศหนึ่งเมื่อวันวานขึ้นมาได้ครับ
ด้วยความที่ชอบ National Treasure 2 ภาคแรกและอยากดูภาค 3 มาก ก็ยอมรับล่ะครับว่าแอบหวังกับซีรี่ส์อยู่เหมือนกัน คือหวังให้มันออกมาดี ออกมาฮิต เผื่องานสร้างภาค 3 จะไวขึ้นมาบ้าง
รู้ไหมครับยามที่ผมนึกถึงพี่ Nicolas Cage ผมจะนึกถึงอีกชื่อหนึ่งคู่กันขึ้นมา ก็คือ Cuba Gooding Jr. นั่นเอง ที่นึกคู่กันก็เพราะชะตากรรมหลายๆ อย่างของพวกพี่เขาเป็นไปในทางเดียวกันครับ ไม่ว่าจะเป็นดาราที่มีฝีมือ เคยได้ออสการ์มาครอง เคยดังอยู่พักหนึ่ง แต่ตอนนี้พวกเขาก็กลายเป็นดารานำในหนังเกรดรองไปแล้ว
เกิดคดีฆาตกรรมหญิงสาวคนหนึ่งในบริษัทใหญ่กลางเมืองลอสแองเจลิส ทำให้จอห์น คอนเนอร์ (Sean Connery) และ เว็บสเตอร์ สมิธ (Wesley Snipes) 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกส่งมาเพื่อไขคดี
เรื่องนี้จัดว่าเป็นหนังฮาแบบไม่ต้องคำนึงถึงเนื้อหาสาระอะไรให้มากความครับ
จริงๆ แล้วนี่คือหนังที่ฟอร์มดีมากๆ นะครับ เพราะรวมดาราระดับออสการ์มากันคับคั่ง ไม่ว่าจะ Kevin Kline, Rod Steiger, and Susan Sarandon (3 คนนี้ได้ออสการ์) Mary Elizabeth Mastrantonio, Harvey Keitel, Danny Aiello (ส่วน 3 คนนี้ได้ชิงออสการ์) และ Alan Rickman ที่รายนี้แม้ไม่เคยชิงออสการ์ แต่ฝีไม้ลายมือก็ไม่เป็นสองรองใคร
ชีวิต ล้วนเกี่ยวข้องกัน
ชีวิต ล้วนไม่แน่นอน
ชีวิต มีขึ้นมีลง
ชีวิต มีเกิดมีดับ
ว่ากันแบบไม่ยืดยาวเลยนะครับ สำหรับการกลับมารอบ 3 ของพ่อตาแสบและเขยซ่าส์ครั้งนี้ ว่าผลที่ได้ออกมานั้น ไม่ใคร่จะน่าประทับใจเท่ากับ 2 คราวก่อนสักเท่าไร ไม่ว่าจะด้านเสียงฮาหรือความสนุก
เรื่องนี้ผมตื่นเต้นมากตอนได้ยินข่าวว่าจะทำน่ะนะครับ เพราะในที่สุด Adam Sandler กับ Rob Schneider โคจรมาเจอกันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ร่วมงานกันมาตั้ง 5 ปี (จนถึงกับมีข่าวลือว่าพวกเขามีปัญหากันน่ะครับ)
ช่วงปลายยุค 90 Sylvester Stallone ได้ค่าตัวระดับ $15 – $20 ล้าน แต่หนังทุกเรื่องที่เล่นกลับไม่ทำเงินเท่าที่ควร พอถึงจุดหนึ่งเขาเลยตัดสินใจชุบตัวสร้างชื่อในวงการใหม่ด้วยหนังคุณภาพฟอร์มเล็ก และ Cop Land คือเรื่องแรกในกระบวนการชุบตัวนั้นครับ