ภาคแรกดูแล้วว่านิ่ง ภาคนี้ดูแล้วนิ่งหนักกว่าเดิม
ภาคแรกดูแล้วว่านิ่ง ภาคนี้ดูแล้วนิ่งหนักกว่าเดิม
แรกเริ่มผมอยากดูหนังเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะตอบโจทย์ที่อยู่ในใจผมครับ มันเป็นโจทย์แบบที่อาจเกิดกับคนมีอายุนิดๆ ได้ทุกเมื่อ
ถือเป็นหนังสไตล์ Austin Powers ฉบับสายลับผิวดำน่ะนะครับ เมื่อวายร้ายฉายา เดอะ แมน มีแผนร้ายต่ออเมริกา ตั้งแต่ปล่อยสารเสพติดที่จะทำให้คนไร้สติไม่ต่างจากซอมบี้ ไปจนถึงแผนร้ายต่อพี่น้องผิวสีร่วมชาติ ทำให้ยอดสายลับตัวกลั่น (Eddie Griffin) ถูกตามตัวมารับภารกิจในการขัดขวางแผนร้ายนี้
หนังตลกที่เอา 2 ดาราขายฮาแห่งยุค 90 อย่าง Robin Williams และ Billy Crystal มาเจอกันครับ
นี่คือหนังล่มอีกเรื่องหนึ่งที่มีผู้เกี่ยวข้องดังๆ เต็มไปหมดครับ เริ่มจากผู้กำกับคือ Walter Hill แห่ง 48 Hrs. และยังเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังชุด Alien ด้วย เรียกว่าจริงๆ ประสบการณ์งานหนังก็ไม่น้อย หนังแนวสยองนอกอวกาศก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
จอช โคแว็กซ์ (Ben Stiller) ผู้จัดการอพาร์ตเมนต์หรูกลางกรุงนิวยอร์กที่ทำงานอย่างดีเยี่ยมมาตลอด ทั้งยังผูกมิตรกับผู้อยู่อาศัยทุกคนอย่างเป็นกันเอง และหนึ่งในคนที่เขาสนิทที่สุดก็คือ อาร์เธอร์ ชอว์ (Alan Alda) มหาเศรษฐีนักลงทุนที่จอชเองก็เอาเงินมากโขไปฝากให้เขาช่วยลงทุน ทั้งเงินตัวเองและเงินกองทุนของพนักงาน ก็หวังว่ามันจะได้ผลตอบแทนทวีคูณคืนมาให้กับทุกคนด้วยนั่นแหละครับ
ธรรมชาติพยายามสื่อสาร สอนสั่ง และตักเตือนเราอยู่เรื่อยๆ ผ่านเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
โจทย์สำคัญที่หนังเรื่องนี้ต้องตีให้แตกคือ ทำให้คนเชื่อให้ได้ว่าซอมบี้ก็มีหัวใจ และความรักระหว่างซอมบี้กับมนุษย์จะเกิดขึ้นได้
ดูตัวอย่างแล้วก็เตรียมใจเข้าไปเสพความเว่อร์วังแบบเต็มขั้นครับ ยิ่งทุนสร้างตั้ง $250 ล้าน มันก็ต้องจัดเต็มแอ็กชันและฉากทำลายล้างแบบระเบิดระเบ้อแน่นอน (พูดถึงรายได้ ตอนนี้ทั่วโลกโกยไปแล้ว $531 ล้าน ถึงจุดคุ้มทุนแล้วครับ ไม่เกินสัปดาห์นี้ก็จะได้งบโฆษณาคืน และเข้าสู่โซนกำไรแน่นอน)
ฉากที่ผมอยากดูที่สุดใน Fast and Furious 7 คือฉากสรุปส่งท้ายบทของ Paul Walker ครับ