ภาคแรกถือว่าสนุกฮาในระดับหนึ่งครับ ซึ่งผมคาดไม่ถึงเลยว่าภาค 2 มันจะสนุกแบบได้ใจได้โล่ห์มากขนาดนี้!
ภาคแรกถือว่าสนุกฮาในระดับหนึ่งครับ ซึ่งผมคาดไม่ถึงเลยว่าภาค 2 มันจะสนุกแบบได้ใจได้โล่ห์มากขนาดนี้!
ถ้าใครสนใจดูหนังฮาๆ สนุกๆ แบบดูได้ทั้งครอบครัวโดยไม่ลามกและไม่เลอะเทอะล่ะก็ ขอแนะนำหนังชุดนี้เลยครับ Diary of a Wimpy Kid ทำออกมา 3 ภาค สนุกดูเพลินทุกภาค
ตอนดูตัวอย่างก็ไม่รู้สึกว่าอยากดูอะไรนักครับ แต่มาสนใจเพราะฉากเด็กหันหลังนั่นแหละ ดูแล้วหลอนดี เลยลองดูสักรอบ (แม้กระแสจะไม่ดีนักก็ตาม)
หนังเรื่องนี้มีดีอย่างยิ่งตรงบทครับ บทที่ค่อยๆ เผยความจริงทีละนิด เผยแบบน่าติดตาม ชวนให้เราอยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปยังไงต่อ ทั้งๆ ที่เกือบทั้งเรื่องน่ะ เหตุการณ์ก็วนซ้ำอยู่ที่เดิมๆ ตัวละครเดิมๆ ซึ่งก็คือโคลเตอร์ สตีเวนส์ (Jake Gyllenhaal) ชายที่ถูกส่งไปยังอดีต เพื่อค้นหาเหตุวินาศกรรม แต่จุดที่ทำให้น่าสนใจคือ “การตัดสินใจของคนที่แตกต่างออกไป”
เป็นหนังเก่าแล้วน่ะนะครับ วันนี้นึกขึ้นมาได้ เคยดูตั้งแต่สมัยออกวีดีโอของ CVD (สม้ยก่อนมันก็มีค่ายยักษ์แค่ค่ายเดียวน่ะนะครับ)
วอลเตอร์ ไพสลี่ย์ (Dick Miller) คือเด็กเสิร์ฟในคาเฟ่โบฮีเมียน คาเฟ่ที่รวบรวมศิลปินและงานศิลปะเอาไว้มากมาย เขาเองก็ใฝ่ฝันจะมีผลงานปูนปั้นมาวางโชว์ในร้านเหมือนกัน
ผมจำชื่อคุณพี่ Tim Burton ได้แบบจั๋งๆ ก็ด้วยหนังเรื่องนี้นี่แหละ!
เคาท์ อเลอคาร์ด (Lon Chaney Jr.) สุภาพบุรุษฮังกาเรียนผู้ลึกลับ เดินทางมายังอเมริกาตามคำเชิญของ แคทเธอรีน คอล์ดเวลล์ (Louise Allbritton) แต่แล้วจู่ๆ พ่อของแคทเธอรีนก็มาเสียชีวิตไปด้วยอาการหัวใจวาย ตามด้วยการตัดสินใจสายฟ้าแล่บของแคทเธอรีนที่คิดจะแต่งงานกับเคาท์ อเลอคาร์ด ทั้งๆ ที่เธอก็มีคนรักอย่าง แฟรงค์ (Robert Paige) เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว
นี่คือภาคต่อของหนัง Dracula เวอร์ชั่นต้นฉบับ (ปี 1931) นะครับ
แรงฤทธิ์สำคัญที่ทำให้ผมคว้าหนังเรื่องนี้มาดูก็คือมีดาราฝีมือดีและมีชื่อในอดีต 3 รายมาร่วมกันแสดง นั่นคือ Michael Ironside, Lee Grant และ William Shatner มันก็เลยคิดน่ะครับว่า หนังมันก็น่าจะมีอะไรบ้างล่ะน่า… ปรากฎว่า… คิดผิดอีกแล้วเรา