แม้ Maleficent จะไม่ได้มี Effect ละลานตาเท่า Alice in Wonderland หรือ Oz แต่ผมก็ชอบนะครับ
แม้ Maleficent จะไม่ได้มี Effect ละลานตาเท่า Alice in Wonderland หรือ Oz แต่ผมก็ชอบนะครับ
ก่อนพบกับรีวิวยาวๆ ตามแบบฉบับ เรามาเจอะเจอรีวิวสั้นๆ กันหน่อยดีไหมครับ เพื่อประหยัดเวลาสำหรับคนที่อยากบริโภครีวิวแบบ Fast Read อ่านปุ๊บตัดสินใจปั๊บได้เลยว่าจะดูไม่ดู ก็ขอเข้าเรื่องแบบตรงประเด็นเลยนะครับ
เมื่อนานมาแล้วผมเคยแนะนำหนังเรื่อง Revenge of the Ninja หนังแนวแอ็กชันสไตล์อเมริกันนินจาที่นินจาญี่ปุ่นมาก่อการปราบวายร้ายถึงเมืองมะกัน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนดูแล้วชอบกันหรือไม่ ส่วนผมดูแล้วออกแนวฮามากกว่า ยังจำได้ติดตาครับ กับฉากอาม่านินจา อันนี้จริงๆ นะครับ อาม่าอายุน่าจะประมาณ 65 อย่างต่ำมารำดาบนินจาอ้ะ อารมณ์มันประมาณดู Kill Bill Vol. บางแคน่ะครับ แหม ทำไปได้
ว่ากันแบบไม่อ้อมค้อมครับ การดู Skin Trade ไม่ได้ทำให้ต่อมมันส์หรือต่อมสนุกของผมทำงานสักเท่าไรเลย
อันว่าหนังแอ็กชันภาคต่อที่เด็ดขาดสนุกเท่าภาคแรกนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็มีไม่เยอะเท่าไรครับ ส่วนหนึ่งเพราะภาคแรกถ้าไม่แน่จริงก็คงไม่สามารถก่อให้เกิดภาคต่อได้ ดังนั้นภาคแรกก็ต้องมีดีมากประมาณหนึ่ง ดังนั้นการจะทำภาคต่อนั้น อย่าว่าแต่จะให้ดีกว่า เอาแค่ให้ดีเท่าเทียมก็ถือเป็นงานใหญ่แล้ว
ใครเคยดูหนังแล้วในหัวของเรามันตะโกนก้องเกือบตลอดว่า “โว้วววววววววววว เฮ้ยยยยยยยยยยย AGhhhhhhhh” บ้างไหมครับ? คือตะโกนด้วยความทึ่งในตัวหนังน่ะครับ (ไม่ว่าจะทึ่งบวกหรือทึ่งลบก็เถอะ 555)
ภาคต่อจาก SPL ภาคแรกที่เจิ้นจื่อตันแสดงไว้ครับ
หนังบู๊ว่าด้วยเรื่องการขับเคี่ยวระหว่างตำรวจกับเจ้าพ่อระดับบิ๊กที่ไม่เคยมีใครเอาผิดเขาได้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าพ่อคนนี้ทำสิ่งเลวร้ายมาแค่ไหนก็เถอะ
Once Upon a Time in Shanghai เป็นงานรีเมคจากหนังเก่าคลาสสิกเรื่อง นักชกจากชานตุง โดยเน้นไปที่ฉากการต่อสู้มือเปล่าที่สมจริง แล้วก็นำเสนอด้วยภาพสไตล์หนังเก่าขาวดำครับ
อีกหนึ่งงานกำกับของฉีเคอะ ผู้กำกับที่ถือเป็นแถวหน้าของฮ่องกงมานานพอๆ กับ John Woo น่ะครับ ซึ่งผลงานของลุงเขาก็มีขึ้นมีลงบ้างตามจังหวะ แต่เรื่องที่ยังอมตะประเภทดูแล้วไม่เบื่อของพี่แกก็ต้องยกให้ เดชคัมภีร์เทวดา (โดยเฉพาะภาค 2) และหวงเฟยหง (โดยเฉพาะภาค 2 อีกเหมือนกัน)