เคยสงสัยไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Jim Carrey? หากใครติดตามดาราหน้ายางคนนี้มาตลอด จะรู้สึกได้ว่าระยะหลังเหมือนเขาจะห่างหายไปจากวงการ ผลงานก็มีปังบ้างแป้กบ้างตามประสา แต่ที่แน่ๆ คือมันไมเ่หมือนสมัยก่อนตอนยุค 90 ที่ถือเป็นยุครุ่งเรืองของเขา
เคยสงสัยไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Jim Carrey? หากใครติดตามดาราหน้ายางคนนี้มาตลอด จะรู้สึกได้ว่าระยะหลังเหมือนเขาจะห่างหายไปจากวงการ ผลงานก็มีปังบ้างแป้กบ้างตามประสา แต่ที่แน่ๆ คือมันไมเ่หมือนสมัยก่อนตอนยุค 90 ที่ถือเป็นยุครุ่งเรืองของเขา
หนังแอ็กชัน+ตลกผสมด้วยความรักกุ๊กกิ๊กของ 3 นักบู๊แห่งฮ่องกงครับ เรื่องมิตรภาพของ 3 หนุ่มที่ประกอบด้วย แจ็คกี้ (เฉินหลง) คือทนายมือดีล ลุค (หงจินเป่า) นักค้าของเถื่อนจอมกะล่อน และทิโมธี (หยวนเปียว) หัวขโมยมือเซียน
หนังจากนิยายของพี่ Stephen King ครับ เนื้อเรื่องว่าด้วยผู้คนที่มากหน้าหลายตาที่ขับรถอยู่บนถนนสายเปลี่ยว แล้วจู่ๆ ก็โดน คอลลี เอนทราเจี้ยน (Ron Perlman) นายอำเภอของเมืองเดสเพอเรชั่นจับไปเข้าคุกอย่าง ซึ่งแต่ละเจ้าที่โดนจับไปนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกครับ แต่ลองว่านายอำเภอยืนกรานจะพาพวกเขาไป พวกเขาเลยไม่อาจขัดขืนได้
นี่เป็นหนังรีเมคนะครับ ซึ่งผมเคยได้ดูต้นฉบับมาก่อน มันเป็นหนังทีวีน่ะครับ แต่แม้จะเป็นเพียงหนังทีวีและเก่าตั้งเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังทำได้น่ากลัวตื่นเต้น ได้มาตรฐานสำหรับหนังสยองดีทีเดียว
ผมชอบตำนาน 3 ทหารเสือมากครับ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะควานหานิยายมาอ่าน และตามดูหนังขุดไปถึงปี 1921 โน่น เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็หนังมีจุดเด็ดเด่นๆ 3 อย่าง ได้แก่เรื่องราวตัวละครที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่ 3 ทหารเสือที่เท่ห์ไปคนละแบบ ดาตาญังที่ห้าวหาญ กษัตริย์ที่พยายามหาทางให้ตนเองมีความเข้มแข็งกล้ายืนหยัดสู้กับคนที่หมายจะยึดครองบัลลังก์ ฯลฯ อีกทั้งเนื้อเรื่องที่มัเรื่องศักดิ์ศรี มิตรภาพเจืออยู่อย่างพอเหมาะ จนไม่แปลกใจครับที่นิยายเรื่องนี้จะเป็นอมตะยืนยาวมาได้ถึงตอนนี้
ดร. เอริก้า บารอน (Lesley-Anne Down) นักอียิปต์วิทยาผู้เดินทางมาเพื่อไขปริศนาเกี่ยวกับสารโบราณฉบับหนึ่งซึ่งเขียนขึ้นโดยผู้สร้างสุสานของฟาโรห์เซติ และเป็นไปได้ว่าสารฉบับนั้นจะนำเธอไปสู่ขุมสมบัติ
หนังสยองที่แหวะมากเอาเรื่อง กับการไล่ฆ่าในวันวาเลนไทน์สีเลือด ซึ่งเหตุรอบแรกเกิดเมื่อหลายปีก่อน ทำเอาคนตายไปถึง 22 ชีวิต
เป็นหนังทีวีครับ ออกแนวสอนวัยรุ่นซึ่งอย่างที่ผมเคยบอกครับว่าอเมริกาทำหนังทำนองอุทธาหรณ์สอนใจแบบนี้บ่อยๆ และส่วนมากก็มักจะนำเอาเค้าโครงเรื่องจริงมาสร้างด้วย
ที่อเมริกานั้นเขาทำออกมาลง DVD โดยตรงไปเลย ไม่มีการเข้าโรงแต่อย่างใดครับ ก่อนดูก็พลางทำใจร่มๆ ไม่ไปคิดมากกับการสานต่อเรื่องราว ที่เดาๆ ว่ามันน่าจะออกแนว “ดันทุรัง” เป็นที่ตั้ง เพราะยิ่งทำก็ยิ่งพยายามยืดเรื่องครับ เหมือนพวกศุกร์ 13 หรือนิ้วเขมือบนั่นแหละ หาเรื่องให้ผีเป็นอมตะเข้าไว้แล้วก็ทำออกมาโกยเงินไปเรื่อยๆ
เพียงสามวันหลังจากหนัง The Grudge ภาคแรกออกฉาย Sony เจ้าของทุนก็ไฟเขียวสำหรับภาคต่อทันที ก็แหงล่ะครับ โดยสามวันแรกเกือบ 40 ล้าน ไม่สร้างต่อก็บ้าแล้ว