ปีเตอร์ (Woody Norman) เด็ก 8 ขวบที่อยู่กับพ่อแม่ผู้แสนจะเข้มงวดและมีท่าทีแปลกๆ (Antony Starr และ Lizzy Caplan) แล้ววันหนึ่งปีเตอร์ก็ได้ยินเสียงเคาะจากกำแพงห้อง ต่อมาเขาได้ยินเสียงคนพูดด้วย เขาเลยพยายามค้นหาความจริงว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกำแพงบ้านกันแน่
เป็นหนังสยองขวัญแนวระทึกปนจิตวิทยาครับ จัดว่าดูได้เรื่อยๆ จริงๆ ปมหลักของหนังก็น่าสนใจดีน่ะครับ ดูไปก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรซ่อนอยู่หลังกำแพง เพียงแต่การเล่าเรื่องมันอาจจะเรื่อยไปหน่อย ช้าไปบ้างในบางจังหวะ ซึ่งก็ต้องใช้ความอดทนระหว่างดูบ้างน่ะนะครับ ครั้นพอถึงตอนเฉลยว่าตกลงเรื่องมันเป็นไงมาไงก็ถือว่าตัวปมน่ะใช้ได้ แต่รสชาติความสยองและความตื่นเต้นนั้นอาจยังไม่สุดเท่าไหร่
นี่ก็เป็นงานกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของ Samuel Bodin ผลที่ได้ก็ถือว่ากลางๆ คือดูได้ เพียงแต่มันยังไม่ออกรสออกชาติแบบเต็มที่ ส่วนตัวผมว่าปมน่ะใช้ได้ครับ แม้จะไม่ใหม่แต่ถ้าเล่าดีๆ ก็น่าจะสนุกอยู่ แต่อาจเพราะชั่วโมงบินของ Bodin ที่ยังไม่มากนัก เลยยังไม่สามารถนำความระทึกตื่นเต้นมาขึ้นจอได้แบบเต็มๆ และสิ่งหนึ่งเลยที่ผมว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสนุกของหนังคือ “ความมืด” ครับ
อันนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะเรื่องนี้ครับ ผมว่าผมเจอปัญหานี้บ่อยมาก คือหนังสมัยนี้นี่เวลาฉากมืดมันจะมืดมาก ก็เข้าใจน่ะนะครับว่าฉากที่มืดมันก็ต้องมืด แต่หนังสมัยก่อนนี่เวลาเข้าฉากมืด ยังไงมันก็จะมีการจัดแสงจัดฉากให้เรายังสามารถมองเห็นรายละเอียดของฉากนั้นๆ ได้อยู่ พูดง่ายๆ คือดูรู้เรื่องน่ะครับ ดูแล้วเห็นว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เช่น ฉากนี้ผีมา ฉากนี้เห็นผีแว้บๆ หรือฉากนี้ตัวละครกำลังซ่อนตัว คือมันจะไม่มืดทึบมืดสนิทจนเกินไป
แต่กับหนังยุคหลังๆ นี่มันชอบมืดแบบเกินความจำเป็น จะมองอะไรนี่คือไม่เห็นเลย ส่งผลให้ดูไม่รู้เรื่องครับ โดยเฉพาะ “ตัวร้าย” ในเรื่องนี้สีตัวยังออกทึมๆ อีก สารภาพเลยว่าบางฉากผมหามันไม่เจอ กลายเป็นว่ามันไม่รู้สึกกลัวครับ แต่มันหงุดหงิด คือมันอยากตื่นเต้นและอยากสยองนะ แต่บางฉากนี่ได้ยินเสียงมันแฮ่แน่ๆ แต่ตาเราก็มองไม่เห็นอยู่ดีว่าฉากนั้นมันมามุมไหน
จนดูจบนี่ผมยังไม่แน่ใจเลยนะว่ารูปลักษณ์ของตัวร้ายในเรื่องนี่มันเป็นยังไง ต้องมาไล่ค้น Google เอา นี่คือเปิดโหมดเร่งสีเร่งแสงแล้วนะครับ แล้วก็จ้องจนไม่รู้จะจ้องยังไงเลยด้วย แต่มันมืด มันมองไม่เห็น คือถ้าเอาไฟฉายส่องเข้าจอแล้วมันสว่างได้นี่ผมคงทำไปแล้วล่ะครับ
หรือไม่ก็อยากบอกผีว่า “อย่าเพิ่งหลอก ช่วยเปิดไฟก่อน เพราะฉันมองแกไม่เห็น!”
หนังจัดว่าเข้าท่าหน่อยก็ตอนท้ายๆ ที่ปมได้รับการเฉลยและเราได้เห็นตัวร้ายลงมือก่อการโหด แต่ก็นั่นแหละครับ มันมืดน่ะ เลยไม่ค่อยเห็น และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมว่าทำให้หนังมันลุ้นน้อยลงไปอีกก็คือ มันดูออกเลยน่ะครับว่าตัวละครไหนจะรอดหรือจะโดนมันเล่นน่ะ เพราะคนที่จะโดนมันเล่นนี่ตัวร้ายมันจะจัดการเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แต่กับตัวละครที่บทกำหนดมาให้รอดแน่ๆ เจ้าตัวร้ายนั้นมันจะอ้อมๆ เลียบๆ เคียงๆ ไม่จู่โจมซะที หรือต่อให้จู่โจมก็จะแค่ข่วนๆ – ทั้งที่เหยื่อรายอื่นๆ นี่พี่เล่นโหดตั้งแต่ตูมแรก – สารภาพว่าแอบขำเหมือนกัน ประมาณว่าเจ้าตัวนี้นี่ทำไมเลือกปฏิบัติ Double Standard อย่างงี้หนอ 5555
ถ้าถามว่าชอบฉากไหนสุด ก็คงเป็นตอนที่ปีเตอร์ฝันแล้วต้องมาเห็นพ่อแม่ตัวเองในสภาพชวนขนลุกน่ะครับ ช่วงนั้นแหละเวิร์คสุดแล้ว
แต่อย่างหนึ่งที่หนังทำออกมาได้ไม่เลวคือ การสะท้อนภาพของครอบครัวที่มีปัญหาน่ะครับ ทำให้เห็นภาพชัดดี พอพ่อแม่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ แล้วก็ทำอะไรสุดโต่งจนเกินไป ไม่ช้าก็เร็วสิ่งขาดๆ เกินๆ เหล่านั้นก็จะส่งผลกระทบไปถึงลูก ดังนั้นจะดุจะเข้มงวดอะไรก็ต้องมีความพอดีครับ จะได้ไม่มาเสียใจภายหลัง
อีกอย่างคือ อย่าไปบูลลี่แกล้งใครเขาเลยครับ เจอของจริงเข้าเนี่ย ไม่ตายก็คางเหลืองเลยนะ และสุดท้ายก็คือ อย่าด่วนไว้ใจเสียงที่มาจากหลังกำแพงครับ
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Mystery, Thriller












