ถ้าท่านชอบหนังกีฬา ชอบหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ชอบหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ ชอบหนังที่เหมือนจุดไฟในตัวให้ฮึกเหิม ผมก็ขอบอกว่า “จัดเรื่องนี้สิครับ จะรออะไร”
หนังสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของ Rickey Hill ที่จริงๆ แล้วมีอาการของโรคกระดูกสันหลังเสื่อมครับ แต่ด้วยความที่เขารักในการเล่นเบสบอลเขาเลยไม่เคยยอมแพ้ พร้อมจะฟันฝ่าทุกขวากหนามเพื่อนำพาตัวเองเข้าสู่เมเจอร์ลีก ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จได้จริงๆ ครับ แล้วเรื่องของเขาก็กลายมาเป็นตำนานอีกบทหนึ่งของวงการเบสบอลอเมริกาที่ได้รับการพูดถึงตราบจนทุกวันนี้
หนังเริ่มเล่าตั้งแต่ชีวิตช่วงวัยเด็กของริกกี้ ยาวมาจนถึงวันที่เขาเข้าคัดตัว ซึ่งระหว่างทางเขาก็เจอเรื่องราวมากมายทั้งแรงเสริมและแรงต้าน และโจทย์ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือ เจมส์ ฮิลล์ (Dennis Quaid) พ่อของเขาที่ไม่อยากให้เขาลงแข่งกีฬานี้สักเท่าไหร่ – เนื่องจากเขาห่วงเรื่องสุขภาพของลูกน่ะครับ – ซึ่งริกกี้ก็ต้องพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขานั้นมีความตั้งใจจริงแค่ไหน
ใช่ครับ นี่คือหนังสูตร เป็นสูตรสำเร็จแนวกีฬาที่ทำกันออกมาเรื่อยๆ แต่ผมไม่เคยเบื่อเลยครับ เพราะหนังแนวนี้ขอเพียงทำออกมาดีๆ นะ นอกจากจะได้ความสนุกบันเทิง ได้ร่วมลุ้นไปกับตัวเอกว่าเขาจะฟันฝ่าอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไรแล้ว สิ่งสำคัญเลยที่ได้เสมอคือพลังบวกครับ อันนี้บอกเลยว่าใครอยากได้หนังที่เสริมพลังใจ อยากได้หนังที่ชุบชูใจให้ลุกขึ้นสู้ล่ะก็ เรื่องนี้นี่จัดว่าตอบโจทย์นั้นแบบเต็มๆ ครับ
ออกตัวครับว่าผมชอบเรื่องนี้จริงๆ ดูแล้วมีความสุข ตัวหนังเองก็ถือว่าเล่าได้ลื่นไหล เล่าได้ชวนติดตาม อันนี้ก็ต้องชมผู้กำกับ Jeff Celentano ที่คุมหนังได้ดี จังหวะจะโคนในการเล่าถือว่าพอเหมาะ แล้วก็บวกกับทีมนักแสดงระดับเจ๋ง อย่าง Quaid นี่ยืนหนึ่งอยู่แล้วครับกับบทพ่อที่ห่วงลูกแต่ออกแนวเข้มและใจแข็งหน่อยนี่ต้องยกให้เขาเลยจริงๆ
ส่วนริกกี้ก็จะมี 2 คนแสดงครับ นั่นคือ Jesse Berry มารับบทตอนเด็ก และ Colin Ford มาเล่นเป็นตอนโต ซึ่งก็ถือว่าแสดงได้ดีทั้งสองคน แต่รายที่ขโมยซีนได้เรื่อยๆ คือ Bonnie Bedelia ในบทคุณยายลิเลียนที่คอยให้กำลังใจริกกี้เสมอมา แล้ววันดีคืนดีก็ต้องคอยมาปกป้องหลานๆ จากพ่อที่เข้มงวด ซึ่ง Bedelia ตอนแสดงเรื่องนี้เธอก็อายุ 75 ปีแล้วล่ะครับ ยอมรับว่าใจหายเหมือนกัน เพราะผมเองยังจำภาพเธอตอนเล่น Die Hard 2 ภาคแรกได้อยู่เลย – เธอรับบทเป็นฮอลลี่ ภรรยาของเฮียจอห์น แมคเคลนน่ะครับ – วันเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ยอมรับเลยครับ
หนังยังได้ดาราสมทบอย่าง Randy Houser ในบท เรย์มอนด์ เคลมอนส์ ชายที่โดนริกกี้หวนดหินใส่กระจกหน้ารถ แต่แทนที่จะโกรธ เขาดันกลายมาเป็นหนึ่งในกำลังใจของริกกี้แทน และ Scott Glenn มาในบท เรด เมิร์ฟ หรือชื่อเต็มว่าโนแลน ไรอัน เรด แมวมองระดับสุดยอดที่กลายเป็นโจทย์สุดหินให้ริกกี้ต้องเผชิญในตอนท้าย
นอกจากนี้ Rickey Hill ยังมาปรากฏตัวด้วยนะครับ เขามารับเชิญในบทโค้ชรอบคัดตัว คนที่เกือบจะคัดริคกี้ออกแต่ริคกี้ยืนกรานที่จะอยู่ต่อโดยบอกว่า “ถ้าผมไม่ตีโฮมรันทุกลูกล่ะก็ ผมจะออกเอง” น่ะครับ นั่นแหละตัวจริงมาเองเลยล่ะ
หนังยาว 2 ชั่วโมงนิดๆ แต่ไม่น่าเบื่อเลยสำหรับผมครับ เพราะเรื่องราวมันชวนติดตาม แม้เหตุการณ์จะไม่ได้ประหลาดพิสดารอะไรจากสูตรของหนังแนวนี้ แต่มันเล่าได้อย่างพอดีน่ะครับ ที่สำคัญคือหนังสามารถทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับเหล่าตัวละคร จนทำให้เราอินและอดเอาใจช่วยริกกี้ไม่ได้
ของดีอีกอย่างคืองานภาพของ Kristopher Kimlin ที่เคยกำกับภาพให้หนังแนวกีฬาสร้างจากชีวิตจริงเหมือนกันเรื่อง American Underdog มาก่อน รายนี้ถ่ายภาพได้สวยครับ โดยเฉพาะช็อตมุมกว้างต่างๆ ซึ่งผมนี่ค้นชื่อพี่แกตั้งแต่ตอนดูช่วง Opening Credits เลย มันจะเป็นภาพริกกี้ตอนโตขับรถแล่นไปตามถนนน่ะครับ จริงๆ เป็นซีนที่ไม่ได้มีอะไรเลยนะ แค่รถแล่นไปเรื่อยๆ แต่ Kimlin ก็สำแดงฝีมือจับภาพให้เราเกิดความสนใจว่าริกกี้กำลังจะไปไหน มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา – เรียกว่าเตะตาตั้งแต่ซีนแรกๆ เลยครับ
ส่วนคนทำดนตรีก็คือ Geoff Zanelli แห่ง Secret Window, The Odd Life of Timothy Green และ Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales รายนี้ก็เหลือเกินครับ สร้างท่วงทำนองในหนังได้หลายแนว มาเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ดนตรีได้อารมณ์หนังแนวกีฬา บางช่วงก็บิ้วอารมณ์ให้อิน บางช่วงก็กล่อมคนดูแบบเบาๆ ให้ซึมลึกไปกับความรู้สึกของตัวละคร ถือเป็นอีกหนึ่งของดีที่เสริมพลังให้หนังได้
สรุปว่าถ้าท่านชอบแนวนี้ล่ะก็ ต้องดูเลยครับ หนังทำออกมาได้น่าจดจำทีเดียว – ยิ่งใครกำลังห่อเหี่ยวหมดพลัง แนะนำให้ดูเลยครับผม
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Biography, Drama, Inspirational Movies, Movie Reviews, Recommended Movies, Sport












