พอดูเรื่องนี้จบ ผมคิดในหัวดังๆ เลยว่า “ผมขอแค่นี้แหละ!”
ผมชอบหนังรอมคอม หลายท่านก็คงทราบน่ะนะครับ และสิ่งที่ผมอยากได้จากหนังแนวนี้จริงๆ ก็มีไม่กี่ข้อ แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะตอบโจทย์ให้ได้ตามนั้น มันชอบมีข้อนั้นแล้วขาดข้อนี้ เกินนั่นขาดนี่ประจำ คือดูแล้วมันยังไม่โดนน่ะครับว่าง่ายๆ
แต่กับเรื่องนี้นี่ได้เลยนะ มันสนุกกลมกล่อมพอเหมาะ คือผมไม่ปฏิเสธครับว่าหนังมันไม่ได้ดีเลิศ ไม่ได้สมบูรณ์แบบ หรือสิ่งที่ผมบอกว่าอยากให้มีนั้น บางอันก็มีในระดับพอมีแต่ก็ยังไม่ถึงกับเจ๋งสุดๆ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ต้องการหนังที่มันสุดยอดถึงขั้นประเสริฐเลิศศรี แต่ขอให้มันมีในสิ่งที่ควรมี มีในสิ่งที่อบอุ่น ชวนยิ้ม ดีต่อใจ ดูแล้วผ่อนคลาย ดูแล้วมีแรงบวกไปทำอย่างอื่นในชีวิตต่อ ใจมันอยากได้แค่นี้แหละครับ
และสำหรับผม เรื่องนี้ได้ครบตามเช็คลิสต์ อย่างแรกเลยคือเนื้อเรื่องที่ดูง่ายๆ เพลินๆ ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้โล่งโถงจนไม่มีอะไรให้สัมผัส พล็อตก็สั้นๆ ครับ ซิดนี่ย์ ไพรซ์ (Minka Kelly) สาวอเมริกันที่ถูกส่งมาเพื่อเจรจากับชาโตว์แคสเซล ที่ทำกิจการขายแชมเปญ แล้วเธอก็เกิดมาปิ๊งปั๊งกับอองรี แคสเซล (Tom Wozniczka) ทายาทของชาโตว์แคสเซลพอดี – ผมว่าผมเล่าแค่นี้พอครับ ที่เหลือนี่เชื่อว่าท่านๆ ที่คุ้นเคยกับหนังแนวนี้น่าจะเดากันได้ไม่ยาก
ตัวหนังถือว่าเล่าได้เพลินครับ ลื่นดี ดูได้เรื่อยๆ ซึ่งในแง่ความซึ้งหรือกินใจหนังอาจจะไม่ได้ให้เราเยอะถึงขนาดนั้น แต่ถือว่าอยู่ในระดับสอบผ่านอยู่ในแดนบวก หรือฉากตอนค่อนเรื่องที่ “พระนางต้องผิดใจกัน” หนังก็เลือกจะนำเสนอแบบเบาๆ พอดีๆ ไม่ฟูมฟายหรือเล่นใหญ่เกิน ส่วนตัวผมว่าอันนี้สำคัญครับเพราะหนังหลายเรื่องเลยที่เล่นใหญ่เกินกับฉากแบบนี้ จนทำให้คาแรคเตอร์ของพระเอกหรือนางเอกดูเสียอาการหรือเสียเสน่ห์บางประการไปโดยไม่จำเป็น แต่กับเรื่องนี้ถือว่าสมูธใช้ได้
อย่างที่ 2 ในเช็คลิสต์คือเคมีของพระนางที่ถือว่าเข้ากัน ดูเหมาะสมกันตามท้องเรื่อง แล้วก็ความสวีทโรแมนติกที่ถือว่ากลางๆ คืออยู่ในระดับพอผ่าน บางอย่างบางช่วงถ้าได้มากกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี แต่เท่าที่มีนี่ก็ถือว่าสร้างความเพลิดเพลินกุ๊กกิ๊กให้คนดูอย่างผมได้พอสมควรแล้ว
อย่างที่ 3 คือวิวดีๆ ภาพสวยๆ โลเคชั่นงามๆ สำหรับข้อนี้นี่ ระหว่างดูผมแอบคิดในใจเลยว่า “หนังเรื่องนี้ขี้โกง” เพราะหนังไปถ่ายทำกันที่ฝรั่งเศสแล้วก็เอาทิวทัศน์ดีๆ โลเคชั่นสวยๆ มาเสิร์ฟขึ้นจอตลอดทั้งเรื่อง หรืออย่างฉากร้านหนังสือเล เอตวล (Les Etoiles) ที่หนังเซ็ตขึ้นมาก็จัดว่าสวยจนน่าไปเดินเลย แบบนี้ก็ถูกใจผมสิครับ 5555 ยังกับรู้แน่ะว่าหนังรักวิวสวยๆ บรรยากาศแบบนี้มันเข้าทางมันแค่ไหน ข้อนี้เลยกลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งโดนใจสำหรับผมไปเลย
อย่างที่ 4 คือ Soundtrack เหมาะๆ ที่ใส่ลงมา บวกด้วยดนตรีบิ้วอารมณ์ ซึ่งระหว่างดูนั้นหนังเหมือนจะไม่เน้นอะไรเหล่านี้มาก แต่ก็ถือว่ามีใส่ลงไปเป็นพื้นหลังให้หนังในระดับที่พอเหมาะ ความลื่นความเพลินในหลายๆ ช่วงก็ได้แรงบวกจากเพลงดีๆ และดนตรีอุ่นๆ โดย Ryan Shore ซึ่งถ้าใครอยากได้ยินสกอร์หนังแบบชัดๆ เต็มๆ ก็ต้องรอช่วง End Credits ครับ ซึ่งผมว่าดนตรีฝีมือเขานี่ก็ได้อารมณ์น่ารักอบอุ่นไม่ใช่น้อย ถือเป็นดนตรีที่ใช้ปิดเรื่องราวได้ดีพอตัว
อย่างที่ 5 อันนี้สำหรับผมถือว่ามีความสำคัญสุด แต่หนังก็มักจะขาดอันนี้กันมากสุด นั่นคือการแจกแจงความเด่นไปยังเหล่าตัวละครสมทบทั้งหลาย ซึ่งผมว่าสำคัญมากนะครับ พวกความวี๊ดว้ายกระตู้ฮูของเหล่าตัวละครนี่แหละที่เป็นชูรสชั้นดีให้กับหนังได้ และประเด็นก็คือหนังสามารถแจกความเด่นให้พวกเขาได้ครบทุกคน ไม่ว่าจะ อูโก แคสเซล (Thibault de Montalembert) พ่อของเขาอองรีที่มีพื้นที่บนจอมากกว่าที่คาด, โรเบอร์โต ซาลาซาร์ (Sean Amsing) คุณเจ๊ผู้แสนรื่นเริงและมีความรักเต็มเปี่ยมอย่างแท้จริงให้กับแชมเปญ รายนี้ถือเป็นคนเพิ่มความสดใสให้กับหนังได้อย่างยอดเยี่ยม, อ็อตโต้ มอลเลอร์ (Flula Borg) คุณพี่จากเยอรมันที่ความแข็งความทื่อของเขานี่แหละคือจุดเด่น
บริจิต (Astrid Whettnall) รายนี้ในแง่ความเด่นอาจไม่เยอะ แต่ก็ถือเป็นตัวละครที่ที่มีผลสำคัญไม่น้อยต่ออูโก, สกายเลอร์ (Maeve Courtier-Lilley) น้องสาวจอมบิ้วของซิดนี่ย์, ฟิลลิปเป้ (Joël Cudennec) พ่อบ้านของชาโตว์แคสเซลที่มาน้อย แต่บทจะฮาก็ปาดหน้าไปเฉยเลย และมาเซล (Thierry René) พนักงานต้อนรับของโรงแรมที่แม้จะมีบทไม่กี่ฉาก แต่ก็เสริมอารมณ์น่ารักอบอุ่นให้กับหนังได้ไม่น้อย
เรื่องบทเรื่องมิติตัวละครนี่ผมยกความดีให้ Mark Steven Johnson ที่ควบตำแหน่งทั้งกำกับและเขียนบท ซึ่งจริงๆ พี่คนนี้เขามีของครับ เขาสามารถเขียนบทที่มีความลึกซึ้งกินใจได้ แม้หลายคนอาจจำเขาได้ในฐานะผู้กำกับหนังฮีโร่ที่สนุกไม่มากอย่าง Daredevil และ Ghost Rider แต่สำหรับผมแล้ว ผมจดจำเขาในฐานะมือเขียนบทเจ้าของงานฮาอบอุ่นอย่าง Grumpy Old Men ทั้ง 2 ภาค แล้วก็ Christopher Robin
หรือถ้าในแง่การกำกับ ผมก็ยังคงชอบ Simon Birch งานกำกับเรื่องแรกของเขาเสมอ ส่วนหนังรอมคอมอย่าง When in Rome, Love in the Villa และ Love, Guaranteed ก็ถือว่าเพลินๆ ครับ แต่ผมก็คิดเสมอว่าเขามีศักยภาพที่จะมีหนังที่สนุกกว่านั้นได้ และเรื่องนี้ก็ถือว่าสนุกกลมกล่อมขึ้นกว่า 3 เรื่องที่ว่านั่นครับ
อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือบทสนทนาที่สื่ออารมณ์และตัวตนของตัวละคร ฟังแล้วมันเข้ากับความเป็นพวกเขาน่ะครับ อย่างแต่ละสิ่งที่เจ๊โรเบอร์โตกล่าวออกมา คือมันสะท้อนออกมาเลยว่าเขาคนนี้ที่ดูจะทำอะไรไม่เป็นนอกจากสังสรรค์กับปาร์ตี้ แต่ก็ยังมีหลายแง่มุมที่เขามีความลึกซึ้งมากกว่าที่ตนเองคิด หรืออย่างตอนที่อ็อตโตพล่ามเกี่ยวกับหนัง Die Hard ในแง่หนึ่งมันก็ฮานะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายคนนี้ก็วิธีคิดในแบบของเขา ไม่ได้ซื่อบื้อทื่อทึ่มแบบท่าทางที่เขาแสดงออก
และด้วยพลังแห่งบทสนทนานี่แหละครับที่ทำให้ตัวละครอย่างอูโกดูมีมิติมากกว่าแค่บทพ่อพระเอกที่ถูกใส่ลงมาประดับหนังเฉยๆ สิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับคำว่า ทู เมอ ม็องก์ (Tu me mangues) เป็นอะไรที่กินใจ มันเปี่ยมความหมายทั้งในแง่ดราม่าและโรแมนติก แม้จะพอเดาได้ว่าจริงๆ แล้วคำพวกนี้ถูกใส่ลงมาเพื่อที่จะได้นำมาใช้ในตอนไคลแม็กซ์สำคัญยามพระ-นางจะปรับความเข้าใจกัน แต่ผมชอบในแง่ความหมายน่ะครับ ซึ่งมันก็มีความแตกต่างจริงๆ นะ ระหว่างการบอกว่า “คิดถึง” กับ “Tu me mangues” ที่หมายความว่าเธอขาดหายไปจากชีวิตฉัน ส่วนตัวผมมองว่ามันโรแมนซ์ครับ เป็นอะไรที่โรแมนซ์มาก
สรุปก็คือผมชอบหนังเรื่องนี้นั่นแหละครับ สารภาพตรงนี้เลยว่าไม่เหลือความเป็นกลางอะไรทั้งนั้น แต่มันถูกใจ มันได้อารมณ์ความเป็นหนังรอมคอมที่ผสมรายละเอียดบางอย่างแบบยุค 90 เข้ากับลีลาแบบหนังยุคปัจจุบัน
ผมถือว่าเรื่องนี้ มีดีมากพอที่จะทำให้เรามีความสุขไปกับมันได้ครับ – เวลาจะดูหนังรอมคอม ก็ขอแค่นี้แหละ ได้ประมาณนี้ก็ดีใจแล้ว
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)













