เคต (Alicia Silverstone) กับเอเวอร์เรตต์ (Oliver Hudson) แต่งงานอยู่กินกันมานาน มีลูก 2 คนคือเซียนน่า (Emily Hall) และเกเบรียล (Wilder Hudson) แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะแยกทางกัน “อย่างมีสติ” เพื่อที่ต่างคนต่างจะได้ไปทำในสิ่งที่ตนต้องการ อย่างเคตนี่อยากกลับไปทำงานเป็นสถาปนิกเพื่อช่วยเปลี่ยนโลกตามความฝันตั้งแต่วัยเยาว์
แต่แล้วเคตก็เจอเซอร์ไพรส์เมื่อรู้ว่าเอเวอร์เรตต์มีแฟนใหม่แล้ว นามว่าเทสส์ (Jameela Jamil) แล้วก็ดูท่าว่าลูกๆ ของเธอกำลังจะเห่อไปอยู่กับพ่อและเทสส์แทนที่จะอยู่บ้านกับเธอ แล้วไหนเธอจะได้เจอกับเชต มัวร์ (Pierson Fode) หนุ่มผู้รับจ็อบสารพัดและเกิดสนใจเคตขึ้นมา เรื่องวุ่นวายแห่งเทศกาลคริสต์มาสเลยบังเกิดครับ
ก็เป็นหนังรอมคอมแบบเบาๆ ตามสไตล์ Netflix ที่ดูแบบเพลินๆ ก็พอได้ เพียงแต่ความกลมกล่อมลงตัวอาจยังไม่เยอะครับ คือจริงๆ เนี่ยโดยทิศทางหนังมันก็คือพระเอกนางเอกจะแยกทางกัน แล้วต่างคนต่างก็เจอคนใหม่ แต่ในที่สุดแล้วหัวใจของทั้งคู่ก็ยังร่ำร้องเรียกหากันอยู่ดี ฮ่า มันมาตามสูตรเลยครับ อันนี้ไม่แปลกใจ เข้าใจได้
เพียงแต่การเล่าเรื่องมันป่วนๆ น่ะครับ คือแก่นหลักที่ผมเล่านี่หนังไม่ค่อยเน้นนะ แต่จะไปเน้นที่ความรั่วของเหล่าแฟนใหม่ของทั้งสอง (เชตและเทสส์) แล้วก็เน้นความรู้สึกของเคตว่าตนเองกำลังจะถูกแย่งลูกๆ ไป ว่าง่ายๆ คือไปเน้นสถานการณ์ชวนขำ (ที่จริงๆ ก็ไม่ได้ฮาขนาดนั้น) กับความรู้สึกป่วนปั่นของเคต หนังมันเลยเทไปทางวุ่นๆ มากกว่าจะมีความเป็นรอมคอมแบบที่ควรจะเป็น
แล้วบางฉากนี่คือรู้เลยว่าคนทำตั้งใจใส่ลงมาเพื่อเรียกแขก ไม่ว่ามันจะดูแปลกหรือเหมาะกับสถานการณ์นั้นจริงๆ ไหม อย่างตอนที่เชตกระชากเสื้อตัวเองออกเพื่อดับไฟน่ะครับ คือเหมือนมันเป็นฉากที่คนทำตั้งใจใส่ลงมาเป็นไฮไลต์เพื่อเอาไว้ใส่ในหนังตัวอย่าง (Trailer) แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เข้ากับเนื้อเรื่องสักเท่าไหร่ – เหมือนตั้งใจโชว์หุ่น Fode น่ะครับ ว่างั้นเถอะ
ในขณะที่ประเด็นดีๆ ที่หนังโปรยไว้แต่ไม่เน้นก็อย่างความฝันของเคตที่อยากจะเป้นสถาปนิก อยากจะเปลี่ยนโลก เลยอยากย้ายจากเมืองวิทเทอร์ไลต์กลับเข้าเมืองใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเคตนั้นก็ใช้ความรู้ของเธอสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชาวเมืองตั้งมากมาย เพียงแต่เธอไม่รู้ตัวเท่านั้น ซึ่งปมนี้นี่ถ้าชงดีๆ นี่มีซึ้งหนักเลยนะครับ แล้วมันก็มาพร้อมพลังบวก Feel Good เข้ากับเทศกาลแบบสุดๆ ด้วย
ไหนจะปมสำคัญอย่างความรักระหว่างเคตกับเอเวอร์เรตต์ที่จริงๆ ก็ยังมีให้กันอยู่ อันนี้ก็หนังจะใส่ลงมาแบบเป็นช็อตๆ น่ะครับ ว่าวาระนั้นวาระนี้เหมือนพวกเขาจะยังมีเยื่อใยกันนะ แต่มันก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก อารมณ์ตอนท้ายมันเลยเหมือนเป็น Happy Ending แบบตามสูตรน่ะครับ ประมาณว่ายังไงก็ต้องจบแบบนี้แหละ – ก็กลายเป็นว่าหนังไม่ค่อยเน้นสิ่งที่ควรเน้นครับ แต่ไปเน้นอย่างอื่นแทน – อย่างฉากที่เคตกับเอพริล (Melissa Joan Hart) เล่นโดรนน่ะครับ คือเหมือนใส่มาเอาความวุ่นวายอย่างเดียว
แต่ถ้าไม่คิดมาก หนังก็เรื่อยๆ ครับ ดูได้เพลินๆ แต่แค่แอบเสียดายเพราะหนังสามารถไปได้ไกลกว่าเท่าที่เป็นมากพอสมควร คือเอาซึ้งเอาอบอุ่นก็ยังได้ แต่ก็นั่นล่ะครับ ยอมรับว่าหลังๆ นี่ไม่คาดหวังกับหนังรอมคอมคริสต์มาสของ Netflix สักเท่าไหร่แล้วล่ะ
อย่างน้อยงานสร้างก็ดีครับ อย่างงานภาพนี่ก็ได้อารมณ์หนังรอมคอม ก็เป็นฝีมือกำกับภาพของ Adam Santelli ที่ไต้เต้าจากเจ้าหน้าที่ช่างไฟในกองถ่ายหนังสยองอย่าง Critters 3, Freddy’s Dead: The Final Nightmare, Children of the Corn ภาค 2 กับ 3 และ Hellraiser ภาค 3 กับ 4 ก่อนจะได้ขยับมากำกับภาพมิวสิควีดีโอและหนัง Descendants 3 ซึ่งกับเรื่องนี้ก็ถือว่าคุมโทนภาพได้ไม่เลวครับ
สำหรับผมก็ถือว่าตามดูงานของดารายุค 90 ที่เราคุ้นเคยครับ เรื่องนี้ Hart กับ Silverstone ร่วมกันสร้างด้วย และอีกเกร็ดที่อยากบอกคือ Oliver Hudson พระเอกของเรื่องเขาคือลูกของ Bill Hudson กับ Goldie Hawn และเป็นพี่ของ Kate Hudson ครับ และคนที่รับบทเกเบรียล ลูกของพระ-นางก็คือลูกของ Oliver Hudson นั่นแหละ
สรุปว่าก็ดูได้ครับ อย่าคาดหวังมากก็แล้วกัน
สองดาวครับ
(6/10)












